“โอนลอย...อันตราย”
สงวน วุฒิกรวงศา (7122)
เรื่องของการ
“โอนลอย” ในการซื้อในการขายรถยนต์หรือรถจักรยานยนต์ก็ตาม
โดยเฉพาะผู้ขายต้องระมัดระวังให้ดีในเรื่องของกฎหมายที่เกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน
(รถที่ขายไป) ว่าได้โอนไปยังผู้ซื้อตามกฎหมายหรือไม่ มิฉะนั้นจะย้อนกลับมาเป็นปัญหาของผู้ขายได้ในภายหลัง
ซึ่งผู้เขียนเองก็ได้ประสบปัญหาดังกล่าวมาแล้ว
กล่าวคือบุตรของผู้เขียนเองได้ขายรถยนต์คันหนึ่ง (เก่ามากแล้ว)
ให้กับเต้นท์ขายรถมือสองไปเมื่อประมาณเดือนธันวาคม 2546
และก็ไม่ได้ถ่ายหลักฐานใบสำคัญการโอนลอยไว้ จนกระทั่งได้รับหนังสือจากสำนักงานขนส่งเขตพื้นที่
4 (หนองจอก) ลงวันที่ 8 สิงหาคม 2550
ความว่าให้ส่งป้ายทะเบียนรถและนำใบคู่มือจดทะเบียนรถมาบันทึกการระงับจดทะเบียนรถ
พร้อมทั้งชำระภาษีที่เพิ่มที่ค้างชำระอีก 5,374.12 บาท
ซึ่งได้ค้างชำระติดต่อกันครบสามปี เพราะมิฉะนั้นจะถูกปรับไม่เกิน 1,000 บาท
ตามมาตรา 61 แห่งพระราชบัญญัติรถยนต์ 2522
น่าจะยุ่งแล้วครับ
“โอนลอย” ประเด็นปัญหาก็คือ
ผู้ซื้อรถต่อจากเต้นท์ขายรถมือสองมิได้นำหลักฐานการซื้อขายไปจดทะเบียนโอน ณ
สำนักงานขนส่งฯ จนล่วงเลยมาเป็นเวลา 3 ปี ซึ่งอายุความการจดทะเบียนรถต้องถูกระงับไปโดยกฎหมาย
(รถกลายเป็นเศษเหล็กไปโดยปริยาย)
ดังนั้นแน่นอนบุตรของผู้เขียนในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์รถที่ขายต้องตกเป็นผู้รับผิดตาม
พ.ร.บ.รถยนต์ 2522
แต่ช่องทางแก้ต่างก็ยังพอมีอยู่
กล่าวคือได้อ้างชื่อเจ้าของเต้นท์ขายรถมือสองที่รับซื้อรถ พร้อมทั้งแนบสำเนาเสียภาษีประจำปีก่อนขายรถที่เก็บไว้
2 ปีไปเป็นหลักฐานด้วยโดยได้ตอบหนังสือไปยังสำนักงานขนส่งเขตพื้นที่ 4 (หนองจอก)
ในนามบุตรของผู้เขียนเมื่อ 20 กันยายน 2550
อ้างว่ากรรมสิทธิ์รถยนต์ที่ขายได้โอนไปยังผู้ซื้อแล้วตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 458 ได้ความว่า
“กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่ขายนั้นย่อมโอนไปยังผู้ซื้อตั้งแต่ขณะเมื่อทำสัญญาซื้อขายกัน”
และตามฎีกาที่ 1025/2522 ฎีกาที่ 1562/2522 ได้ความว่า “การซื้อขายรถยนต์
เมื่อผู้ขายและผู้ซื้อได้ทำสัญญาซื้อขายกัน
กรรมสิทธิ์ในรถยนต์ย่อมโอนไปยังผู้ซื้อทันที” และฎีกาที่ 60/2524 ความว่า
“ซื้อขายรถยนต์เสร็จเด็ดขาด (ชำระราคาแล้ว) กรรมสิทธิ์โอนขณะทำสัญญา”
(จดทะเบียนโอนเป็นเรื่องทีหลัง)
ซึ่งเป็นเรื่องของกฎหมายเกี่ยวกับเจ้าหน้าที่ควบคุมยานพาหนะและเสียภาษีรถยนต์
ไม่ใช่แบบนิติกรรม ซึ่งผู้เขียนไม่ได้อ้างมาตราและฏีกาไป เพียงนำมาขยายความเพื่อให้ทราบในข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้เท่านั้น
และทุกอย่างก็ยุติลงไม่ต้องรับผิดแต่อย่างใด
ทางที่ดีการซื้อขายรถยนต์หรือรถจักรยานยนต์ควรไปโอนกัน
ณ สำนักงานขนส่งจะปลอดภัยกว่า หรือถ้า “โอนลอย” ก็สำเนาเก็บหลักฐานไว้ไม่ประมาท
ทั้งนี้หากผู้ซื้อรถนอกจากจะไม่นำหลักฐานไปโอนแล้วอาจนำรถไปก่ออาชญากรรม เช่น
นำไปลักทรัพย์หรือปล้นทรัพย์และกระทำผิดกฎหมายอื่นใด
ปัญหาที่จะแก้ไขแก้ต่างก็ยุ่งยากยิ่งขึ้นอาจถึงขั้น “โอนลอยอันตราย”
จำต้องย้ายนิราศสถานไปอยู่ในทัณฑสถานก็เป็นไปได้!!!!
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น