วันจันทร์ที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2556

เล่าเรื่องสหกรณ์ออมทรัพย์ในต่างแดน

เล่าเรื่องสหกรณ์ออมทรัพย์ในต่างแดน
                                                                              โดย ศิษย์ X-MBA .เกษตรศาสตร์
 

   ผมไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่าจะได้รับ Line จากท่านอาจารย์ ดร.วิวัฒน์ แดงสุภา นายเก่าผมเมื่อครั้งท่านเป็นผู้บริหารชุมนุมสหกรณ์ออมทรัพย์แห่งประเทศไทย จำกัด อยู่หลายสมัย ท่านบอกให้ผมช่วยเขียนเรื่องเล่าเกี่ยวกับสหกรณ์ออมทรัพย์ของประเทศต่างๆ ในภูมิภาคเอเซียมาลงพิมพ์ในจุลสารของสหกรณ์ออมทรัพย์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จำกัด  เพื่อให้ได้กลิ่นอายบรรยากาศของการก้าวสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community:AEC) แต่เอาแบบเบาๆ สบายๆ ไม่หนักวิชาการมากนัก ให้ผมส่งมาก่อนถ้าไม่ได้เรื่องอาจารย์ก็จะโยนทิ้งไปเอง ดังนั้นหากท่านได้อ่านแล้วเห็นว่าไม่ได้เรื่องก็คงต้องไปต่อว่าเอากับอาจารย์วิวัฒน์เองนะครับ

 

                 พวกเราคงคุ้นหูกันแล้วกับคำว่า"อาเซี่ยน "ชื่อเต็มคำก็คือ"สมาคมประชาชาติแห่งเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ (Association of Southeast Asian Nation:ASEAN)" มีสมาชิก10 ประเทศได้แก่ ไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ บรูไนดารุสซาลาม เวียดนาม ลาว พม่า และกัมพูชา ตั้งขึ้นมาเพื่อสร้างสันติภาพและความร่วมมือด้านต่างๆในภูมิภาคนี้ ความจริงเริ่มมาตั้งแต่ปี พ.. 2510 นานกว่า 55 ปีแล้ว ทำไมถึงได้เพิ่งมาฮือฮากันมากในช่วงนี้ ไปไหนมาไหนทุกสื่อทุกภาคส่วนทั้งราชการและเอกชนพูดคุยนำเสนอกันแต่เรื่องการเตรียมความพร้อมกับการก้าวสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซี่ยน แม้กระทั่งคณะเศรษฐศาสตร์ ภาควิชาสหกรณ์ ม.เกษตรศาสตร์ ยังต้องจัดการสัมมนาระหว่างประเทศเรื่องCooperative Business Inter-cooperation Forward to AECเพื่อเกาะกระแสชิงบทบาทนำทางวิชาการด้วยเรื่องของเรื่องมาจากการประชุมสุดยอดอาเชียนปี 2550  ที่สิงคโปร์ บรรดาผู้นำอาเซี่ยนมานั่งประชุมกันแล้วเห็นว่าคบกันมาตั้ง40ปีแล้วยังไม่เห็นมรรคผลอะไรเท่าไร ก้าวหน้าที่ละคืบสองคืบแถมยังมาตีกันเองอีกขณะที่ภูมิภาคอื่นได้มีการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจเพื่อสร้างความสามารถทางการแข่งขันกันอย่างกว้างขวางหากหมู่เฮาชาวอาเซี่ยนต้วมเตี้ยมๆอยู่เช่นนี้คงต้องตกเป็นเบี้ยล่างถูกกีดกันเอารัดเอาเปรียบจากภูมิภาคอื่นอย่างแน่นอน โดยเฉพาะจากประเทศมหาอำนาจต่างๆ จำเป็นอย่างยิ่งที่หมู่เฮาต้องกระชับความร่วมมือด้านเศรษฐกิจการค้าระหว่างกันให้เป็นรูปธรรมโดยด่วน จึงตกลงร่วมกันที่จะนำประเทศของตนเข้าร่วมเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซี่ยนภายในปี 2558 โดยมีเป้าหมาย 4ประการคือ 1)มีตลาดและฐานการผลิตร่วมกัน 2) มีความสามารถแข่งขันสู3)สร้างความเท่าเทียมในการพัฒนาเศรษฐกิจ และ 4)เข้าร่วมกับประชาคมโลก ยุทธศาสตร์ต่างๆจึงถูกกำหนดออกมาเป็นระยะๆจากทุกภาคส่วน

    

     ในภาคการสหกรณ์เองก็ไม่ตกกระแสได้มีการจัดประชุมเจ้าหน้าที่ระดับสูงภาครัฐผู้กำกับดูแลงานสหกรณ์ของประเทศในอาเซี่ยน

ครั้งที่ 1 (The 1st ASEAN Regulators/ Senior Officials of Co-operative Meeting )ขึ้น ณ เมืองปุตราจายา มาเลเซีย เมื่อเดือนกรกฎาคม 2555 มีท่านจิตรกร สามประดิษฐ์ รองอธิดีกรมส่งเสริมสหกรณ์และคณะ เข้าร่วมประชุมด้วย ซึ่งที่ประชุมได้เห็นชอบในหลักการหลายประการคือการจัดตั้งคณะกรรมการประสานงานร่วมของผู้กำกับดูแลงานสหกรณ์ของประ

เทศในอาเซี่ยน การจัดการประชุมรัฐมนตรีสหกรณ์อาเซี่ยน การจัดทำกฎบัตรสหกรณ์อาเซี่ยน การจัดตั้งกองทุนพัฒนาสหกรณ์อาเชียน รวมถึงการจัดตั้งชมรมหรือสมาพันธ์สหกรณ์อาเซี่ยน เป็นเรื่องที่สร้างสรรน่ายินดีและปรบมือให้ ความคืบหน้าเป็นอย่างไรต้องติดตามดูกันต่อไป เสียดายก็แต่เพียงบรรดาผู้นำขบวนการสหกรณ์ไทยที่ยังสงบนิ่งอยู่ ไม่รู้ว่ากำลังร่วมกันซุ่มวางกลยุทธ์ หรือว่ายังแตกแยกเป็นหลายก๊กรวมกันไม่ติด ถ้าเป็นอย่างหลังก็อย่าเพิ่งคิดเข้าสู่AECเลย จะพาชาติอื่นเขาปั่นป่วนไปหมด ให้สิงคโปร์ มาเลเซีย หรือเวียดนามเป็นผู้นำแล้วกัน

    

                   ฉบับหน้าจะมาเล่าให้ฟังถึงขบวนการสหกรณ์ออมทรัพย์ในระดับภูมิภาคเอเซียและระดับโลก สวัสดีครับ

แม่…"ก่อนแม่จะสิ้นลมหายใจ"


แม่…"ก่อนแม่จะสิ้นลมหายใจ"

          บ้านพักคนชราที่ผมไปเยี่ยมเยียนมาหลังวันเกิดในเดือนที่แล้วเป็นอาคารไม้ชั้นเดียว ไม่ใหญ่โตนัก ที่นี่ เป็นส่วนหนึ่งของวัดเล็กๆ ที่สมภารเจ้าอาวาส อดีตนักเรียนโรงเรียนเดียวกับผม ท่านเอาเงินที่ญาติโยมศรัทธาถวายท่านมาปลูกสร้าง เพื่อให้ผู้เฒ่า ผู้ชราได้มาพักอาศัยยามเมื่อขาดที่พึ่งพิง มีโยมผู้หญิงวัยกลางคนไร้ญาติและสิ่งเกาะเกี่ยวทางโลกมาบำเพ็ญธรรมโดยไม่บวชชี ท่วงท่าเจรจาพาทีดูสำรวมราบเรียบพร้อมเด็กวัดลูกชาวบ้านแถบนั้น แวะเวียนผลัดเปลี่ยนกันเป็นผู้ดูแลผู้ชราทั้งหญิงชาย ที่ถูกทอดทิ้งรวม13 ชีวิต

            ค่าจ้าง คนดูแล น้ำ ไฟ เสื้อผ้ายารักษาโรค ข้าวปลาอาหาร สมภารใจดี อดีตนักเรียนช่างกล ที่รอดตายมาจากเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 เหมาจ่ายคนเดียว โดยไม่เคยพิมพ์ฏีกาเรี่ยไรใครพูดคุยกับท่านหลายเรื่องจนตอนจะลากลับผมควักเงิน 500 บาทใส่ซองถวายท่านเป็นค่าใช้ จ่าย ท่านจึงนึกอะไรขึ้นมาได้ ชวนผมเดินลงจากศาลาไปที่บ้านพักคนชราแห่งนั้น เปิดนรกบนดินอีกขุมหนึ่ง ให้คนบาปอย่างผม มีดวงตาเห็นธรรมโดยไม่ต้องฟังเทศน์เทียบชาดกบทใดๆ
            หญิงชรารูปร่างเล็ก ผิวสองสีบอบบางทอดกาย เหยียดตรงบนเตียงเล็กๆ แต่สะอาดมีผ้าห่มผืนบางๆ ห่มปิดทรวงอกที่ยังกระเพื่อมเบาๆ ราวเครื่องยนต์ใกล้ดับอย่างเหนื่อยหน่าย แม่เฒ่าพยายามยกมือขึ้นประนมไหว้เมื่อท่านสมภารพาผมมานั่งอยู่ข้างขอบเตียง กังวานน้ำเสียงแห่งพุทธบุตรผู้เมตตาเปล่งวาจา ถามไถ่อาการ และให้ศีลให้พรเบาๆ แต่เข้มขลังศักดิ์สิทธิ์  หยาดน้ำตาแห่งความปิติ ท่วมท้นดวงตาสีขาวขุ่น แล้วค่อยๆ ซึมเซาะรินไหลไปตามร่องขอบตา ที่เหี่ยวย่นบนใบหน้า เวทนาบังเกิดจนผมต้องเบือนหน้าหนี ผู้เฒ่าอายุ 91 ปี อาวุโสสูงสุดในจำนวน 13 คนชราของที่นี่ เรื่องราวทั้งหลายในอดีตยังเจิดจ้าอยู่ในความทรงจำ เหมือนเพิ่งเกิด เมื่อวาน.......
            แม่เฒ่ามีลูกชายสองคนและหญิงหนึ่งคน 60 ปี ที่ผ่านมาครอบครัวแม่เฒ่าจัดอยู่ในระดับผู้มีอันจะกินของจังหวัด  สามีของแม่เฒ่ามีอาชีพรับเหมาก่อสร้าง ก่อร่างสร้างตัวจากกรรมกรกินค่าแรงรายวันโดยแม่เฒ่ารับจ้างทอผ้าอยู่ในโรงงงานแห่งหนึ่ง อดออมสะสมจนฐานะดีขึ้นสามารถสร้างหลักฐาน จนมีที่ดินบ้านช่องสมฐานะ แต่สามีก็ยังทำงานหนักไม่ยอมพัก หวังจะฟูมฟักลูก 3 คนให้อยู่อบอุ่น กินอิ่มโดยไม่ต้องลำบาก ช่วงนั้นแม่เฒ่าเลิกทอผ้าแล้ว อยู่บ้านเลี้ยงลูก 3 คน ที่อยู่ในวัยซนไล่เรียงตามลำดับ เช้าวันหนึ่งเมื่อลูกชายคนโตอายุได้ 6 ขวบ สามีของแม่เฒ่าก็หลับไปไม่ตื่นมาล่ำลา หมอที่โรงพยาบาลบอกว่าสามีตับแข็งตายทั้งๆที่ไม่เคยแตะเหล้าสักหยดแม่เฒ่าเปลี่ยนสภาพบ้านพักเปิดเป็นร้านค้าโชห่วย ขายของสารพัดชนิด อดทนอดออมเลี้ยงลูกทั้ง 3 คน ให้ร่ำเรียน จนจบปริญญา ครอบครัวอบอุ่น พี่น้องรักใคร่กันดีไม่มีเค้าลางว่าจะแตกหัก ดั่งหนึ่งคนละสายเลือด ลูกชายคนโตแต่งงานไปกับลูกสาวเจ้าของร้านขายทองในตลาด ในชีวิตของแม่เฒ่าไม่เคยมีความสุขครั้งไหน เหมือนวันที่ลูกชายแต่งงาน สมบัติที่มีแม่เฒ่าจัดแบ่งเป็นสามส่วนให้ลูกชายคนโตเปิดร้านขายทองตามที่สะใภ้ต้องการ

            ปีต่อมา ลูกคนที่สองแต่งสาวเข้าบ้านอีกคนแม่เฒ่ายกบ้านและที่ดินที่เปิดร้านขายของสองคูหาสามชั้นให้เป็นสมบัติของลูกด้วยความยินดีโดยที่แม่เฒ่าขอสิทธิ์แค่อยู่อาศัย สองปีถัดมาลูกสาวคนสุดท้องแต่งกับข้าราชการระดับหัวหน้ากองในจังหวัด
แม่เฒ่ายกที่ดินและเงินสดก้อนสุดท้ายของแม่เฒ่า รับขวัญลูกเขยด้วยความปรีดา  สัตว์โลกทั้งหลายล้วนเวียนว่ายก่อเกิดเพื่อมาชดใช้กรรมเก่า สะใภ้คนที่สองเริ่มจุดประกายแห่งการแตกหัก ตั้งแต่แต่งเข้าบ้านไม่เคยแม้แต่เสียบปลั๊กหม้อหุงข้าว แม่เฒ่ากลายเป็นทาสในเรือน ซักผ้าทำกับข้าว จัดสำรับคับค้อนตั้งโต๊ะ คอยท่าสองผัวเมียกินก่อนจนอิ่ม แม่เฒ่าจึงมีโอกาสได้กินของเหลือ ก่อนจะเก็บกวาดถ้วยชามไปล้าง กวาดเช็ดปัดถูบ้านช่องเรียบร้อยแล้วจึงได้พักผ่อนด้วยการเดินออกไปคุยกับเพื่อนบ้านในวัยไล่เลี่ยกัน สะใภ้สองเข้มงวดแม้แต่ของสดทุกชนิด ที่ซื้อมาทำกับข้าว ต้องถามราคาแล้วยกไปชั่งน้ำหนักราคาสินค้า กับเงินทอนที่เหลือต้องตรงกับเงินที่ให้ไปตลาด แต่แม่เฒ่าก็ไม่เคยเก็บมาเป็นอารมณ์
            แล้ววันหนึ่งสะใภ้สองก็จัดระเบียบการกินใหม่หล่อนไปสั่งผูกปิ่นโต เพื่อกินกันแค่สองผัวเมียแล้วสั่งให้ผัวจ่ายเงินให้แม่เฒ่าแค่วันละยี่สิบบาทไปหากินเอาเองด้วยเหตุผลโง่ๆ คือต้องการประหยัด แต่ลึกๆ ในใจไม่ต้องการให้แม่ผัวเม้มส่วนเกิน แม่เฒ่าคิดเอาเองว่าลูกๆ คงไม่อยากให้แม่เหนื่อยจึงน้อมรับประกาศิตลูกสะใภ้ด้วยดุษฏี สองสามวันต่อมาแม่เฒ่าก็ลืมสิ้นเพราะความรักลูก 
             หลายครั้งที่แม่เฒ่าคิดถึงลูกชายคนโตที่เปิดร้านขายทองในตลาดแม่เฒ่าจะเจียดเงินที่เก็บออมไว้ ซื้อผลไม้ที่ลูกชอบติดมือไปด้วย แต่ทุกครั้งที่แม่เฒ่าเดินเข้าไปในบ้าน สะใภ้ใหญ่จะมองอย่างเหยียดๆ แล้วเดินหนีเข้าห้องแอร์ ปิดประตูนอนดูโทรทัศน์
สั่งคนใช้ให้คอยสอดส่องเดินตามแม่เฒ่า เธอกลัวแม่ผัวขโมยของในบ้าน จะคุยกับลูกชายนั่นก็ออกอาการไม่ว่าง ถามคำตอบคำเหมือนหนามตำโดนโคนลิ้นจนอ้าปากลำบากลำบน อึดอัดแม่ เกรงใจเมียแกล้งถอดสร้อยคอทองคำเส้นโต ที่ห้อยแขวนพระเครื่องราคาแพงในกรอบทองฝังเพชรพวงใหญ่ขึ้นมา ส่องทีละองค์ด้วยความเลื่อมใสและไม่แม้แต่จะชายตามองแม่เฒ่าที่นั่งซึมอยู่ข้างตู้ทองอย่างเดียวดาย  เก้ๆกังๆอยู่พักใหญ่ก็เดินออกจากบ้านลูกชายคนโตอย่างเหงาๆโดยมีคนใช้ของลูก หิ้วถุงผลไม้ตามมายัดคืนใส่มือ ระหว่างทางก็แวะทักทายคนรู้จักเพื่อรักษามารยาท แต่ในใจของแม่เฒ่า มันวังเวงจนจำไม่ได้ว่าพูดคุยกับใครไปบ้างระหว่างทาง   ลูกสาวคนเล็ก ที่แม่เฒ่าทั้งรักทั้งหวงนั่น แทบไม่ต้องพูดถึงเธอยื่นคำขาดกับแม่เฒ่าตั้งแต้ครั้งแรกที่ไปเยี่ยมว่าถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ต้องไปหา เพราะบ้านเธอมีแขกที่เป็นลูกน้องของผัว และพ่อค้าวานิชเข้าพบผัวของเธอเพื่อขออำนวยความสะดวกในทางธุรกิจบ่อยๆ และผัวของหล่อนก็ค่อนข้างเจ้ายศเจ้าอย่าง ถ้าแม่เฒ่ารักลูกก็ควรจะต้องรักษาเกียรติรักษาหน้าตาของผัวลูกด้วย  (อ่านต่อฉบับหน้า)

เชื้อโรคอยู่ส่วนไหนของบ้านมากที่สุด


เชื้อโรคอยู่ส่วนไหนของบ้านมากที่สุด
ดร.สุพาพร เทพยสุวรรณ

            คุณคิดว่าเชื้อโรคอยู่ส่วนไหนของบ้านมากที่สุด หลังจากได้ทำการทดสอบจากบ้านหลายต่อหลายหลัง โดยนักวิทยาศาสตร์และนักสาธารณสุข ผลการวิจัยพบว่า จากการตรวจ (swab) พื้นผิวบ้าน 22 หลัง ตามพื้นผิวต่างๆ ถึง 30 แห่งและได้ทำการตรวจเชื้อโรคถึง 660 ชนิด ที่ในห้องน้ำ ห้องครัว และที่ต่างๆ ภายในบ้าน คำตอบที่ได้อาจจะทำให้เราแปลกใจ กล่าวคือ เรามักจะคิดว่าที่ที่มีเชื้อโรคมากที่สุด คือ ห้องน้ำ แต่แท้ที่จริงแล้วที่ที่มีเชื้อโรคมากกว่า คือ ห้องครัว จากการศึกษาของสถาบันทางด้านสาธารณสุข พบว่า มีเชื้อแบคทีเรีย ตามชั้นและตู้ ต่างๆ 32% ตามอ่างล้างมือ และจานมีประมาณ 45% และที่ฟองน้ำล้างจาน แปรงขัดพื้นต่างๆ มีถึง 77% ซึ่งแบคทีเรียเหล่านี้ทำให้เกิดอาการอาหารเป็นพิษได้ และจากการทดสอบยังพบเชื้อ แบคทีเรียชื่อ "เอ็มอาร์เอสเอ" (Methicilin Resistant Staphylococcus Aureus) เชื้อสแตฟฟิโลคอคคัสที่ต้านยาเมธิซิสลินที่มือจับตู้เย็นและอีก 18% ที่ฟองน้ำซึ่งเป็นแบคทีเรียชนิดหนึ่งที่ทำให้เกิดอาการดื้อยา

 ที่ที่มีเชื้อโรคมากที่สุด คือ ที่ฟองน้ำล้างจานและชาม ซึ่งเชื้อโรคเหล่านี้จะทำให้เกิดอาการปวดท้องได้ ไม่เพียงแต่ที่ฟองน้ำและที่วางฟองน้ำเท่านั้น เชื้อโรคสามารถแพร่ไปยังทั่วห้องครัวได้ หากนำฟองน้ำไปเช็ดบริเวณตู้และชั้นต่างๆ จะทำให้เกิดการติดเชื้อโรคเพิ่มขึ้นด้วย ทั้งตามบริเวณเตา และชั้น บริเวณอ่างที่ฟองน้ำไปสัมผัส สิ่งที่ทำได้คือให้ใช้ผ้าขี้ริ้วผืนเล็กที่สามารถซักได้ในเครื่องซักผ้าหรือซักมือ แต่หากต้องใช้ฟองน้ำจริงๆ ให้หมั่นทำความสะอาดโดยนำไปใส่ในไมโครเวฟประมาณ 1-2 นาที เพื่อฆ่าเชื้อโรค และควรเปลี่ยนฟองน้ำทุก 2 อาทิตย์ สาเหตุที่เป็นอย่างนั้นเพราะบริเวณอ่างล้างจานเป็นที่ชึ้นแฉะ

อีกทีหนึ่งคือตามบริเวณชั้นต่างๆ ในห้องครัว เช่น ที่ชงกาแฟ และอ่างล้างจาน ควรทำความสะอาดด้วยน้ำส้มสายชู หรือ น้ำยาทำความสะอาดหรือที่เรียกว่า บลีซ ( Bleach) ผสมกับน้ำ 1 ต่อ 10 ทุกวันอย่าลืมบริเวณท่อน้ำทิ้งด้วย แต่อาจต้องระวังการใช้ด้วย เนื่องจากผลิตภัณฑ์ฟอกขาวเหล่านี้จะทำให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหนัง และตาได้ หลายท่านอาจคิดว่าห้องครัวเป็นที่ทำอาหารน่าจะสะอาดเลยลืมดูตามชั้น บริเวณที่ชงกาแฟ และอ่างล้างจานไป

lหลายท่านอาจคิดว่าบริเวณที่นั่งตามโถสุขภัณฑ์น่าจะมีเชื้อโรคมากกว่าที่อื่นๆ จึงทำความสะอาดอย่างดี แต่แท้ที่จริงแล้วบริเวณที่แขวนแปรงสีฟันเป็นบริเวณที่มีเชื้อโรคมากกว่าบริเวณโถสุขภัณฑ์ และเชื้อโรคจะเข้าสู่ร่างกายได้โดยตรงคือทางแปรงเข้าสู่ปากนั่นเอง

มือถือ รีโมตต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นวิทยุ ทีวีที่จับประตู และที่จับตู้เย็น ก็เป็นอีกที่หนึ่งที่มีเชื้อโรคอยู่มาก เนื่องจากมีการใช้สัมผัสทุกวัน ซึ่งเชื้อโรคจะผ่านจากมือหนึ่งไปสู่อีกมือหนึ่งได้ง่าย

ขวดเกลือและพริกไทยที่ตั้งไว้ที่โต๊ะอาหาร พบว่า มีเชื้อไวรัสติดอยู่บริเวณที่เทและหากไม่มีฝาปิดอีกด้วยแล้วจะเป็นที่อยู่เพาะเชื้อโรคทีเดียว เราจะเห็นได้ว่ามีเชื้อโรคอยู่ในที่ต่างๆ มากมายรอบตัวเรา ซึ่งเชื้อโรคเหล่านี้ก่อให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บต่อทุกคนที่อาศัยอยู่ในบ้าน

       ดังนั้น หากเราหมั่นทำความสะอาดในบริเวณต่างๆ ที่กล่าวไปแล้วข้างต้น ก็จะช่วยให้ป้องกันไม่ให้เชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายได้ในระดับหนึ่ง ขอเป็นกำลังใจให้ทุกครอบครัวเสมอค่ะ

อีเมล์ส่งต่อ จาก สมาชิก 1930

ประโยชน์ 10 ประการของไข่


ประโยชน์ 10 ประการของไข่

            ไข่ ซึ่งจัดได้ว่าเป็นอาหารหลักของคนทุกชนชั้นทุกชาติ จากประโยชน์ที่ไข่มอบให้กับร่างกายของคนเรานั่นเอง และต่อไปนี้คือ ประโยชน์ 10 ประการจากการบริโภคไข่ ซึ่งบางอย่างคุณอาจจะไม่เคยรู้มาก่อน
1.
ไข่เป็นอาหารที่ดีสำหรับดวงตา ผลการศึกษาชิ้นหนึ่งพบว่า การรับประทานไข่วันละฟองอาจจะช่วยป้องกันโรคจอประสาทตาเสื่อม ทั้งนี้เนื่องมาจากสารคาโรทีนอยด์ที่อยู่ในไข่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ลูทีน (lutein) และซีแซนทีน (zeaxanthin) ซึ่งเป็นสารที่พบบริเวณตา โดยฉาบอยู่บนผิวของเรตินา เพราะร่างกายจะได้รับสารอาหารทั้งสองอย่างนี้โดยตรงจากไข่มากกว่าอาหารชนิดอื่น
2.
ไข่ทำให้เป็นต้อกระจกน้อยลง จากผลการวิจัยอีกชิ้นหนึ่งนักวิจัยยังพบว่า คนที่กินไข่ทุกวันมีความเสี่ยงที่จะเป็นต้อกระจกน้อยลง อันเนื่องมาจากลูทีนและซีแซนทีนในไข่ดังได้กล่าวมาแล้ว
3.
ไข่อุดมไปด้วยโปรตีน โดย 1 ฟองจะมีโปรตีนคุณภาพดี 6 กรัม และกรดอะมิโนสำคัญอีก 9 ชนิด
4.
ผลจากการทำวิจัยโดยมหาวิทยาลัยแพทย์ฮาร์วาร์ดพบว่า ไม่มีความเชื่อมโยงที่สำคัญระหว่างการบริโภคไข่กับการเกิดโรคหัวใจ แถมยังมีผลการวิจัยอีกชิ้นหนึ่งที่พบว่า การบริโภคไข่เป็นประจำยังช่วยป้องกันเลือดจับตัวเป็นก้อน เส้นเลือดอุดตันในสมอง และภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน
5.
ไข่เป็นแหล่งโคลีนที่ดี โดยโคลีนอยู่ในกลุ่มของวิตามินบี จัดเป็นสารอาหารสำคัญที่ช่วยในการควบคุมการทำงานของสมอง ระบบประสาท และระบบไหลเวียนของเลือด โดยไข่ 1 ฟองจะมีโคลีนมากถึง 300 ไมโครกรัม
6.
ไขมันในไข่มีคุณภาพดี ไข่ 1 ฟองมีไขมันอยู่ 5 กรัม และมีเพียง 1.5 กรัมเท่านั้นที่เป็นไขมันชนิดอิ่มตัว
7.
แม้ว่าออกจะขัดแย้งกับความเชื่อเดิมๆ แต่งานวิจัยชิ้นใหม่กลับพบว่า การบริโภคไข่แต่พอสมควรจะไม่ส่งผลกระทบเชิงลบต่อปริมาณคอเลสเตอรอล มิหนำซ้ำยังมีการศึกษาพบเมื่อเร็วๆ นี้ว่า การบริโภคไข่วันละ 2 ฟองเป็นประจำวันไม่มีผลกระทบต่อระดับไขมันในร่างกาย มิหนำซ้ำอาจจะช่วยทำให้ไขมันดีขึ้น โดยผลการวิจัยกล่าวว่า ไขมันอิ่มตัวจะทำให้ระดับคอเรสเตอรอลเพิ่มสูงขึ้นมากกว่าคอเลสเตอรอลที่อยู่ในอาหาร
8.
กินไข่ได้วิตามินดี เพราะไข่เป็นอาหารเพียงชนิดเดียวที่เป็นแหล่งวิตามินดีตามธรรมชาติ
9.
ไข่อาจจะช่วยป้องกันมะเร็งเต้านม โดยผลการศึกษาชิ้นหนึ่งพบว่า ผู้หญิงที่รับประทานไข่ 6 ฟองต่อสัปดาห์ช่วยลดความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งเต้านมลงร้อยละ 44
10.
ไข่ทำให้เส้นผมและเล็บมีสุขภาพดี เพราะว่าไข่มีซัลเฟอร์สูง รวมถึงยังมีวิตามินและแร่ธาตุอีกหลายชนิด หลายคนจึงพบว่าผมยาวเร็วขึ้นหลังจากที่เพิ่มไข่เข้าไปในอาหารที่รับประทาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคนที่เคยขาดอาหารที่มีซัลเฟอร์หรือวิตามินบี12 มาก่อน

การบริโภคไข่ที่เหมาะสม
แม้ว่าไข่จะมีคุณประโยชน์มากมาย แต่หลายคนก็ยังกังวล ฉะนั้นการกินไข่ในปริมาณที่เหมาะสมกับวัย ควบคู่กับการออกกำลังกายเป็นประจำจึงน่าจะเป็นทางเลือกที่ดี โดยคนแต่ละวัยสามารถบริโภคไข่ได้ดังนี้
-
เด็กอายุ 1 ปีจนถึงเด็กวัยเรียนสามารถบริโภคไข่ได้วันละ 1 ฟอง
-
ผู้ใหญ่ที่มีภาวะร่างกายปกติสามารถบริโภคไข่ได้ 3-4 ฟองต่อสัปดาห์
-
คนวัยทำงานสุขภาพดี สามารถบริโภคไข่ได้วันละ 1 ฟองทุกวัน ไม่เพิ่มคอเลสเตอรอลและไม่ทำให้เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ
-
กลุ่มผู้ป่วยที่เป็นโรคหัวใจ หรือโรคที่ต้องหลีกเลี่ยงอาหารที่มีคอเลสเตอรอลสูงสามารถบริโภคไข่เพียง 1 ฟองต่อสัปดาห์ หรือตามคำแนะนำของแพทย์

ขอขอบคุณข้อมูลจาก ... HealthToday