วันพุธที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2555

การพัฒนาจุดแข็งของตนเพื่อความสำเร็จในชีวิต


การพัฒนาจุดแข็งของตนเพื่อความสำเร็จในชีวิต


                เรื่องของจุดแข็งและจุดอ่อนในแต่ละคนนั้น ได้มีผู้ที่ศึกษาและถ่ายทอดความรู้ในเรื่องนี้ไว้หลายท่าน แต่ในที่นี้จะขอนำงานเขียนของ MARCUS BUCKINGHAM และ DONALD O. CLIFTON, Ph.D. มาคุย

เนื่องจากว่างานของสองท่านนี้น่าสนใจ ซึ่งร่วมรวมข้อมูลมากว่า 30 ปี และผู้คนที่เกี่ยวข้องก็ประมาณ 2 ล้านคน  มีการสัมภาษณ์ในระดับผู้บริหารอีกกว่า 80,000 หมื่นคน จากการที่เขาได้ทำงานกันมาขนาดนี้ ก็ทำให้เขาพบว่า ความผิดพลาด 2 อย่าง ของบริษัทหรือองค์กร ก็คือ มีสมมุติฐานที่ผิดอยู่ 2 ข้อคือ

1. เราทุกคนเรียนรู้ในเรื่องใดก็ได้แทบทุกเรื่อง 

2. การพัฒนาที่ดีที่สุดคือทุ่มความสนใจที่จุดอ่อน 

                โอกาสที่จะประสบความสำเร็จนั้นพบว่า พรสวรรค์ของแต่ละคนมีความยั่งยืน และมีความพิเศษเฉพาะตัว ถ้าหากได้มุ่งเน้นพัฒนาจุดแข็งของคนๆ นั้นแล้ว มันจะเกิดประสิทธิภาพ ประสิทธิผลที่สูงกว่า เพราะเขาเคยทำการสำรวจในคน 1.7 ล้านคน 101 บริษัท 63 ประเทศ พบว่าในแต่ละวันได้เอาศักยภาพที่ดีทีสุดของตัวเองมาทำงาน เพียงแค่ 20 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นเอง โดยจะขอนิยามคำศัพท์ต่างๆ ดังนี้ 

จุดแข็ง คือ การทำกิจกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งได้แทบสมบูรณ์แบบอย่างสม่ำเสมอ เราจะถือว่าเป็นจุดแข็ง ได้เมื่อสามารถทำได้อย่างสม่ำเสมอจนคาดหวังได้

จุดอ่อน ก็คือ อะไรก็ตามที่มาขัดขวางการปฏิบัติให้เป็นเลิศ 

พรสวรรค์ มีคุณสมบัติอย่างน้อย 4 ข้อ คือ 1. ชอบทำ  2. มีความปรารถนา 3. เรียนรู้ได้เร็ว 4. ทำแล้วรู้สึกดี

ส่วนในเรื่องของจุดอ่อน ใครได้ยินก็อยากจะกำจัดทิ้งเสีย แล้วเราจะมีกลยุทธ์ในการกำจัดจุดอ่อนได้อย่างไร

1. ทำดีขึ้นอีกนิด อย่าไปคาดหวังว่าเราจะแก้ทุกอย่างภายในวันเดียว เพียงแค่ว่าเราทำดีกว่าเดิมอีกนิดเดียว  

2. ลองใช่ความคิดสร้างสรรค์ บางทีอาจจะได้อะไรใหม่ๆ

3. ถ้ามันต่อต้านกันก็เอาจุดแข็งมาลบจุดอ่อน  

4. ลองหาคนที่จะมาเป็นคู่คิด

5. ถ้าทำ 4 ข้อ ทั้งหมดแล้วยังไม่ดีขึ้นก็เลิกทำ อย่าไปดันทุรังเลย

ส่วนจุดแข็งนั้นจะมีลักษณะเฉพาะคือ

1. เราสามารถที่จะคาดหวังผลได้

2. จุดแข็งจะมีลักษณะเฉพาะจริงๆ

3. ถ้าเราอยากจะเป็นเลิศ เราต้องเพิ่มพูนจุดแข็ง มากกว่าที่จะไปลบจุดอ่อน

จุดแข็งในที่นี่มีทั้งหมด 34 ประการด้วยกันคือ

นักจัดการ
 ความเชื่อ
บัญชาการ
การสื่อสาร
การแข่งขัน
ความเกี่ยวข้องเชื่อมโยง
ความยุติธรรม
การคำนึงถึงสิ่งรอบข้าง
ระมัดระวัง  
นักพัฒนา
ระเบียบวินัย
ความเห็นอกเห็นใจ
เป้าหมายชัดเจน
อนาคต
ความกลมเกลียว
ความคิด
ต้อนรับ
ความเป็นปัจเจกบุคคล
ป้อนข้อมูล
นักคิด
ใฝ่รู้ 
ความเป็นเลิศ
มองโลกในแง่ดี
สร้างสัมพันธ์
การมีความรับผิดชอบ
ปรับปรุงแก้ไข
ความเชื่อมั่นในตนเอง
ความสำคัญ
เจ้ากลยุทธ์
ชนะใจ


ทั้งหมด 34 ข้อนี้ เราไม่ต้องไปคาดหวังว่าเราจะมีทั้ง 34 ประการ เพราะเราจะมีแค่ 5 ข้อ เท่านั้น และเราก็พัฒนา 5 ข้อของเราให้เก่งยิ่งๆ ขึ้น ก็จะทำให้เราเป็นบุคลากรที่มีคุณภาพยิ่งขึ้นต่อไป

จุดอ่อนในที่นี่มีด้วยกัน 2 แบบ คือ

1.จุดอ่อนในเรื่องของความรู้ความสามารถ

2. จุดอ่อนในด้านความประพฤติ ในด้านนี้เพิกเฉยไม่ได้

                แม้พระอรหันต์ยังต้องฝึกตัวเองต่อเนื่อง  อย่างเช่นพระสารีบุตร ด้วยความที่ว่าท่านเคยเกิดเป็นลิงถึง 500 ชาติ พอเจอหนองน้ำก็กระโดดข้าม แทนที่จะเดินข้ามไป ตอนกลางคืนก็ไปจำวัดอยู่บนต้นไม้

                การฝึกจุดแข็งนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์เวลาฝึกหรือสอนใครท่านก็ใช้จุดแข็งของแต่ละคน ไม่ได้ดูแค่ตาเห็น แต่ท่านระลึกชาติไปดูด้วยว่าคนๆ นี้เคยเกิดเป็นอะไรมา อัธยาศัยไปทางด้านไหน ต้องพูดยังไง สอนยังไงถึงจะโดนใจเขาอย่างเช่น เมื่อท่านไปโปรด ชฎิล 3 พี่น้อง ที่ชอบบูชาไฟ จดจ่ออยู่กับไฟ พระองค์จึงเลือกที่จะเทศนาอาทิตตปริยายสูตร เมื่อฟังธรรมจบจึงบรรลุเป็นพระอรหันต์เลย เพราะมันโดนใจ หรือถ้าเป็นการสอนในสมัยใหม่ ที่เรียกว่า Child Center  คือ การจัดการเรียนการสอนที่ผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง สอนให้ตรงใจเขาก็จะเข้าใจได้ง่าย

                ดังนั้นถ้าเราจะสอนตัวเราเองก็เช่นกัน เราต้องเข้าใจจุดอ่อน จุดแข็งของเราเองให้ดี แล้วก็ปรับนิสัยตัวเองให้ดี ฝึกลักษณะเด่นของเราเองให้ดี เต็มที่ยิ่งขึ้น ส่วนจุดอ่อนให้แง่การงาน ก็ไม่ต้องถึงกับไปทุ่มเทเวลาทั้งหมดอยู่กับจุดอ่อนจนกระทั่งละเลยจุดแข็ง เพราะฝึกจุดอ่อนฝึกแล้วมักจะไม่ค่อยได้ดีเท่าไหร่ แต่ให้ทุ่มเทจุดแข็งให้เยอะๆ แต่จุดอ่อนเรื่องความประพฤติก็ต้องตั้งใจเอาจริงเอาจังในการปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้น แล้วเอาเวลามาทุ่มเทจุดแข็งเพื่อเอาไปทำงานที่เหมาะสมกับเรา อย่างนี้ละก็เราก็จะประสบความสำเร็จในชีวิตได้อย่างดีเยี่ยม  

ที่มา: รายการทันโลกทันธรรม ตอนเจาะจุดแข็ง.  www.dmc.tv

KISS Investing


KISS Investing

การลงทุนนั้นก็เหมือนกับการทำอะไรอีกหลายๆ อย่างที่ วิธีหรือกระบวนการที่ง่ายกลับให้ผลที่ดีกว่าวิธีที่ยากและซับซ้อนในภาษาอังกฤษจึงมีคำพูดที่นิยมกันมากว่า  “Keep It Simple And Stupid” หรือใช้คำย่อว่า  “KISSแปลเป็นไทยว่า ต้องทำให้มันง่ายและโง่ที่สุด
การลงทุนแบบ KISS นั้นควรจะเป็นอย่างไร? และมันดีจริงหรือ? เพื่อที่จะตอบคำถามนี้ ผมขอยกหลักการของโปรเฟสเซอร์ Charles D. Ellis นักวิชาการและนักเขียนเรื่องเกี่ยวกับการลงทุนชื่อดังมาอธิบาย เขาเสนอว่า KISS ในการลงทุนนั้น  มีหลักการและวิธีการ 5 ขั้นดังต่อไปนี้
ข้อแรก เก็บออมเงินสม่ำเสมอและเริ่มตั้งแต่อายุน้อย หลักการนี้เป็นพื้นฐานที่สำคัญมาก  เพราะการเริ่มต้นเร็วนั้น นอกจากจะเพาะนิสัยในการเก็บออมแล้ว การลงทุนจะเริ่มได้เร็วและมีระยะเวลาลงทุนนานกว่าที่เราจะเกษียณอายุ ด้วยพลังของการ "ทบต้น" ของผลตอบแทนที่ได้จะทำให้เม็ดเงินเติบโตเร็วมาก 
วิธีที่จะคำนวณว่าเม็ดเงินจะเติบโตไปถึงแค่ไหนนั้น เราสามารถใช้ "สูตร 72" คำนวณได้ สูตรนี้จะบอกว่าเงินเราจะเพิ่มเป็นเท่าตัวต้องใช้เวลากี่ปี ตัวอย่างเช่น  ถ้าเราลงทุนในกองทุนหุ้นซึ่งจะให้ผลตอบแทนเฉลี่ยปีละ 10% ก็ให้เอา 72 ตั้งหารด้วย 10 ได้ค่าเท่ากับ 7.2  ก็จะได้ว่าเงินของเรา 1 ล้านบาทจะโตเป็น 2 ล้านบาท จะใช้เวลาประมาณ 7.2 ปี
ดังนั้น ถ้าเรามีเวลาลงทุน 14 ปี เงินก็จะโตไปอีกเท่าตัวเป็น 4 ล้านบาท และถ้าลงทุน 21 ปี จะกลายเป็น 8 ล้านบาท ถ้าลงทุน 28 ปี ก็จะกลายเป็น 16 ล้านบาท แบบนี้ไปเรื่อยๆ ดังนั้น ระยะเวลาในการลงทุน จึงเป็นปัจจัยที่สำคัญอย่างยิ่งยวดที่จะทำให้เรารวย
ข้อสอง ใช้ประโยชน์จากการลดหย่อนภาษีของรัฐบาลในโครงการเพื่อการลงทุนระยะยาวและการเกษียณอายุ ในเมืองไทย ก็คือ การลงทุนในกองทุน RMF หรือกองทุนเพื่อการเกษียณอายุ  และ LTF หรือกองทุนหุ้นระยะยาว ทั้งสองกองทุนนั้นเราสามารถนำเงินที่ลงทุนไปลดหย่อนภาษีรายได้ประจำปีของเรา ซึ่งเท่ากับว่ารัฐบาลช่วยสนับสนุนหรือเพิ่มเม็ดเงินที่เราออมตามอัตราภาษีที่เราจ่ายประจำปี  เช่น  ถ้าเราต้องจ่ายภาษีขั้นสุดท้ายที่ 20% เงินที่เราลงทุนใน RMF และ LTF  ก็จะได้ภาษีคืนเท่ากับ 20%  นี่เท่ากับว่ารัฐบาลช่วยเพิ่มเงินออมให้เราเท่ากับ 20%  ในส่วนนี้เมื่อคิดว่ามันจะให้ผลตอบแทนทบต้นเข้าไปเรื่อยๆ  ในระยะยาว  เม็ดเงินที่เราจะได้ก็มหาศาลโดยไม่มีความเสี่ยง
ข้อสาม เงินออมทั้งหมดเราจะต้องเอาไปลงทุน  โดยการลงทุนของเรานั้นเราจะต้อง "กระจายความเสี่ยง" ให้อยู่ในตราสารการเงินหลายๆ ประเภทที่เหมาะสมกับเรา  เช่นต้องมีเงินฝากจำนวนหนึ่ง  มีกองทุนพันธบัตร  และมีกองทุนหุ้น  เป็นต้น   โดยสัดส่วนการกระจายนั้น  เราอาจจะกำหนดเป็นสูตรที่เราคิดว่าเหมาะสมกับการกล้ารับความเสี่ยงของเรา  เช่น ถ้าเรารับความเสี่ยงได้มาก  เราอาจจะลงทุนในกองทุนหุ้น 70% กองทุนพันธบัตรหรือตราสารหนี้ 20% และเป็นเงินฝาก 10% เป็นต้น 
ถ้ารับความเสี่ยงได้น้อย อาจจะลงในหุ้นเพียง 40% อีก 50%  เป็นพันธบัตร ที่เหลืออีก 10%  เป็นเงินสดในธนาคารเป็นต้น  ในส่วนของการเลือกกองทุนนั้น  เราควรลงทุนในกองทุนที่อิงดัชนีที่คิดค่าจัดการกองทุนในอัตราที่ต่ำเป็นหลัก  อย่าไปลงทุนในกองทุนที่พยายามสร้างผลตอบแทนที่เหนือตลาด  เพราะสถิติบอกว่ากองทุนเหล่านี้ส่วนใหญ่แล้วให้ผลตอบแทนแย่กว่ากองทุนที่อิงดัชนีและคิดค่าบริหารกองทุนต่ำ
ข้อสี่  เมื่อจัดพอร์ตลงทุนตามสัดส่วนการกระจายการลงทุนแล้ว   ทุกสิ้นปีสัดส่วนเงินลงทุนในพอร์ตก็มักจะเปลี่ยนไปเพราะตราสารบางกลุ่มจะให้ผลตอบแทนดีกว่าทำให้เม็ดเงินมากเกินสัดส่วน  ดังนั้น เราจะต้องจัดการ Rebalance หรือจัดสัดส่วนการลงทุนใหม่โดยการขายหน่วยลงทุนส่วนที่มีผลตอบแทนมากและสัดส่วนเกินที่กำหนดในตอนต้นปี ไปซื้อหน่วยลงทุนที่มีสัดส่วนน้อยลงแทนเพื่อทำให้สัดส่วนการลงทุนในแต่ละกลุ่มกลับมาอยู่ที่เดิมที่เราตั้งไว้  อย่าเปลี่ยนสัดส่วนเพราะคิดว่ากองทุนแบบหนึ่งกำลังทำผลงานดีหรือแย่กว่าที่คาด
ข้อห้า ยึดมั่นกับหลักการและวิธีการตั้งแต่ข้อหนึ่งถึงข้อสี่โดยไม่ต้องสนใจภาวะตลาดการเงินที่ผันผวน  เช่นเวลาที่ตลาดหุ้นตกหนักอย่าขายหน่วยลงทุนในกองทุนหุ้น เพราะเราไม่รู้ว่าพรุ่งนี้มันจะยังตกหรือเปล่า เช่นเดียวกัน ในช่วงที่หุ้นขึ้นก็อย่าไปซื้อเพิ่ม เพราะไม่รู้ว่าพรุ่งนี้มันอาจจะตกก็ได้   การพยายามคาดการณ์ทิศทางตลาดหุ้นนั้นส่วนใหญ่แล้วไม่เป็นประโยชน์  ควรเน้นการลงทุนระยะยาวซึ่งสถิติบอกว่าหุ้นนั้นในที่สุดก็จะกลับมาให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าการลงทุนประเภทอื่น
หลักการทั้งห้าข้อนี้ ดร.เอลลิส บอกว่าเป็นแผนการเงินเพื่อการเกษียณที่ทำแล้วสบายใจและแทบ "ไม่ต้องดูแล" ที่สำคัญมันง่ายมาก แต่สิ่งที่ต้องระวังที่สุดก็คือ  มันต้องการ "วินัย" ที่เข้มงวด และ "อารมณ์" ที่มั่นคง  สุดท้าย  อาจารย์เอลลิส  บอกว่า  แผนการเงินนี้ควรที่จะต้องเป็นแผนร่วมของทั้งสามีและภรรยา  ทั้งคู่จะต้องเข้าใจและตัดสินใจร่วมกันจึงจะทำให้เกิดผลสำเร็จ  และดังนั้น  คำว่า KISS จึงถูกแปลใหม่ว่า Keep It Simple, Sweetheart. แผนการเงินที่ง่าย นะจ๊ะ ที่รัก
ความคิดของผมเองคิดว่า  หลักการและวิธีการของโปรเฟสเซอร์ เอลลิส นั้น เป็นวิธีการที่เหมาะสมและถูกต้องของพนักงานลูกจ้างที่กินเงินเดือนส่วนใหญ่ที่ไม่มีเวลาหรือความรู้มากพอที่จะศึกษาและลงทุนเอง  วิธีนี้เมื่อกำหนดกลยุทธ์ใหญ่ โดยเฉพาะในเรื่องของการจัดสรรสัดส่วนเงินลงทุนในตราสารการเงินเรียบร้อยแล้ว ก็แทบไม่ต้องทำอะไรอีกยกเว้นการปรับพอร์ตในแต่ละปี แต่ผลการลงทุนและเม็ดเงินที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเวลาผ่านไปนั้น  จะช่วยสร้างความมั่นใจว่าหลักการนี้ดีจริงและความมั่นใจที่จะยึดกับหลักการนี้จะเพิ่มขึ้น  และเมื่อถึงวันที่เราเกษียณจริงๆ  ผมคิดว่าอย่างน้อยเราน่าจะอยู่ได้อย่างสุขสบาย และสำหรับบางคนก็อาจจะ รวยไปเลย
 ที่มา : ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร (กรุงเทพธุรกิจ 28 ก.ย. 53)

คู่มือพิทักษ์กระดูกและข้อ


คู่มือพิทักษ์กระดูกและข้อ
ลองถามตัวเองไหมว่า แต่ละวันคุณนั่งอยู่กับที่กี่ชั่วโมงเริ่มตั้งแต่นั่งรถไปทำงาน หรือไปโรงเรียน นั่งเรียนหนังสือ นั่งทำงาน นั่งกินข้าว นั่งดูทีวี บางทีคุณอาจพบว่า ชีวิตตลอดทั้งวันรวมแล้วนั่งมากกว่า ยืน เดิน และนอนรวมกันเสียอีก
ยังไม่นับท่านั่งที่ถูกต้อง และการนอนที่ถูกสรีระ ซึ่งอิริยาบถอากัปกิริยาของร่างกายตลอดทั้งวันมีผลต่อกระดูกและข้อต่างๆ ในร่างกาย ไม่เฉพาะแต่วิถีแบบคนเมือง เคยมีรายงานวิจัยโดยแพทย์จากโรงพยาบาลรามาธิบดีศึกษาพบว่า วิถีชีวิตแบบไทยอย่างเช่นนั่งกินข้าวกับพื้นก็มีผลต่อกระดูกหลัง และปัญหาปวดหลัง ปวดเอว เหมือนกัน
            ไม่ว่าจะเป็นปัจจัยมาจากชีวิตวิถีเมือง หรือวิถีไทย ผลกระทบเริ่มปรากฏภาพให้เห็นชัดขึ้นจากการศึกษาที่พบข่าวร้ายว่า โรคเกี่ยวเนื่องกับกระดูกขึ้นแท่นเป็นแชมป์อันดับหนึ่งของกลุ่มศัลยกรรมต่อยอด
            ข้อมูลข้างต้นมาจากคำให้การของ ศ.เกียรติคุณ นพ.เจริญ โชติกวณิชย์ ผู้อำนวยการศูนย์กระดูกสันหลังและข้อ  โรงพยาบาลสมิติเวช ศรีนครินทร์
 ปัจจัยที่ทำให้จำนวนผู้ป่วยโรคกระดูกและข้อเพิ่มมากขึ้นมาจากปัจจัยพื้นฐานอย่างอายุ, พฤติกรรม, วิถีชีวิต รวมถึงอุบัติเหตุ
            อายุขัยของมนุษย์ที่ขยับเพิ่มเกณฑ์เฉลี่ยจาก 75-77 ปี ก็เพิ่มมาเป็น 80 ปี และยังพบอีกว่า เริ่มมีผู้ที่อายุมากกว่า 100 ปีในประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น ทว่า ยิ่งอายุมาก ความเสื่อมของร่างกายก็ยิ่งมากขึ้น รวมถึงกระดูกและข้อด้วย และในส่วนของพฤติกรรม
            ตัวอย่างที่เห็นชัดที่สุดคือ การนั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์ ที่เราใช้เวลาอยู่กับมันมากขึ้นทุกวันทำให้ปวดหลังปวดคอ รวมถึงการนอนดูทีวี ที่ทำให้ปวดคอได้
            ส่วนปัจจัยด้านวิถีชีวิตยังเกี่ยวข้องกับอาหารการกิน โดยเฉพาะการกินที่มากจนเกินไปหรือกินแต่อาหารจานด่วนส่งผลต่อน้ำหนักตัว ยิ่งอ้วน กระดูกและข้อต่อก็จะยิ่งทำงานหนัก ทั้งการซื้อยากินเองก็เสี่ยงทำร้ายกระดูกและข้อ โดยเฉพาะยาลูกกลอนที่มักผสมสเตียรอยด์ หรือยาต้านการอักเสบที่ส่งผลต่อตับ ไต และกระดูก และปัจจัยสุดท้ายคือ อุบัติเหตุ ทั้งจากการเล่นกีฬา และอุบัติเหตุบนท้องถนน
            นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยเสี่ยงที่น่าสนใจ นั่นคือ การดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่ และไม่ออกกำลังกาย ซึ่ง นพ.เจริญ ให้น้ำหนักกับเรื่องนี้มากเป็นพิเศษ เพราะโรคกระดูกและข้อสามารถเป็นได้ตั้งแต่วัยเด็ก อาจจะอยู่ในรูปเท้าแป ขาโก่ง หากเป็นวัยรุ่น คนทำงาน ก็มีทั้งกระดูกหัก ข้อเคลื่อนจากอุบัติเหตุ  เอ็นข้อฉีกขาดจากการเล่นกีฬา
 แต่หากอายุมาก กระดูกและข้อก็เกิดการเสื่อมสภาพ กระดูกพรุน โปร่งบาง กระดูกสันหลังยุบตัว หรืออาจจะเป็นภาวะเนื้องอก กระดูกงอก มะเร็งกระดูก หรืออาจมีความผิดปกติของกระดูกสันหลัง เช่น หมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อนกดทับเส้นประสาท กระดูกสันหลังโก่งงอ เป็นต้น
            การรักษาโรคกระดูกและข้อ มีตั้งแต่การผ่าตัดรักษา ซึ่งมีนวัตกรรมการรักษาที่ช่วยให้ผลการรักษาดีขึ้น ร่างกายฟื้นฟูได้เร็ว เช่น การผ่าตัดส่องกล้องที่ให้แผลเล็ก การพักฟื้นสั้น รวมถึงการรักษาด้วยการผ่านคลื่นความร้อน เพื่อรักษาอาการหมอนรองกระดูกเคลื่อนกดทับเส้นประสาท ทำให้ไม่ต้องผ่าตัด ใช้เวลารักษาเพียง 30 นาทีก็สามารถกลับบ้านได้เลย
            ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นเทคโนโลยีที่อำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ป่วยทั้งสิ้น และยังมีเวชศาสตร์ฟื้นฟูอย่างธาราบำบัด ที่เหมาะต่อการฟื้นฟูผู้ป่วยโรคกระดูกและข้อโดยเฉพาะ
 แต่สำหรับปีกระต่ายตื่นตัว ใครอยากจะหาวิธีป้องกันกระดูกและข้อของตนเองให้แข็งแรง ผู้อำนวยการศูนย์กระดูกสันหลังและข้อ แนะว่า ควรเล่นกีฬาอย่างสม่ำเสมอ ที่สำคัญคือ ควรปลูกฝังให้เด็ก ๆ เล่นกีฬา โดยเลือกให้เหมาะกับวัยและสภาพร่างกาย หลีกเลี่ยงการกินแล้วนอน งดสูบบุหรี่ ลดแอลกอฮอล์ แม้บางคนอาจจะต้องกินเพื่อเข้าสังคม ซึ่งทำได้ แต่อย่ากินจนเป็นกิจวัตร เพราะเท่ากับทำลายตัวเอง
เพียงเท่านี้ ชีวิตก็จะเป็นสุข เพราะใช้ชีวิตประจำวันได้ โดยไม่ต้องปวดข้อหรือกังวลกับกระดูกตัวเองจนไม่เป็นอันทำอะไร
ที่มา : สาลินี ทับพิลา กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ 30 ม.ค. 2554


7 อาหาร


7 อาหาร
          อาหารที่เราจะแนะนำต่อไปนี้คืออาหาร 7 อย่างที่จะช่วยชะลอสัญญาณแห่งวัย ไม่ว่าจะเป็นผมร่วง ผิวแห้ง เฉื่อยชา เพื่อให้คุณ ๆ ดูอ่อนกว่าวัยได้ภายใน 3-6 เดือน มีอะไรบ้างไปดูกันค่ะ...
         1. หยุดผมร่วง ด้วยการรับประทานกล้วย ซึ่งอุดมไปด้วยวิตามินบี สามารถช่วยป้องกันผมร่วงได้ดี หากรับประทานกล้วยในปริมาณที่พอดี จะช่วยรักษาเส้นผมให้อยู่คู่หนังศีรษะได้อย่างยาวนาน
         
2. ลดผิวมัน ธัญญาหารล้วนอุดมไปด้วยวิตามินบี 2 ซึ่งช่วยหยุดยั้งการผลิตน้ำมันส่วนเกินของผลิตภายในร่างกาย ฉะนั้น การรับประทานธัญญาหารทุกเช้าจะช่วยลดปัญหาผิวมัน และเส้นผมมันบางได้ดี
         
3.หยุดการลอกของผิวหนัง หากรับประทานปลาแซลมอนในเกลือรมควัน อาหารทะเล หรือสลัดผักเป็นประจำ จะช่วยทำให้หยุดปัญหาการหลุดลอกของผิวหนังได้
         
4.ผิวเนียนใสเหมือนเด็ก ใครอยากมีผิวที่เนียนใสเหมือนเด็กทารก ให้กินมะม่วงเป็นประจำ เนื่องจากมะม่วงมีเบต้าแคโรทีนที่ช่วยทำให้ผิวมีสุขภาพดี ช่วยกระตุ้นการสร้างผิวหนัง รวมทั้งหนังศีรษะ เพื่อทดแทนของเดิมที่หยาบแห้งและขรุขระให้กลับมีความชุ่มชื่น และนุ่มเนียนอีกครั้ง
         
5. ชะลอผมหงอก ถั่วลิสงอบเนยรวมกับเกล็ดขนมปังที่อบมาร้อน ๆ ก่อนมื้ออาหาร สามารถช่วยชะลอผมหงอกได้ เพราะถั่วลิสงมีวิตามินบี ที่สามารถหยุดการเปลี่ยนสีผมให้เป็นสีดอกเลา แถมยังทำให้ผิวหนังดูดีขึ้นด้วย
         
6. ดูหนุ่มสาวขึ้นอีก 5 ปี ฝรั่งหรือน้ำฝรั่ง ซึ่งอุดมด้วยวิตามินซี จะช่วยเก็บรักษาคอลลาเจนที่เป็นบ่อเกิดแห่งโปรตีนภายใต้ผิวหนัง หรือรับประทานมะละกอ ส้ม ลูกเกดสีดำอบแห้ง ร่วมกับผลไม้อื่น ๆ เป็นประจำ ก็จะช่วยเพิ่มวิตามินซีได้ ทำให้คุณดูอ่อนกว่าวัยมากถึง 5 ปี
         
7. ปกป้องใบหน้าจากมลพิษ อะโวคาโด ซึ่งอุดมด้วยวิตามินบี จะช่วยทำให้ใบหน้าดูอ่อนกว่าวัย และร่างกายเกิดความต้านทานจากการทำลายในรูปแบบต่าง ๆ รวมทั้งการถูกทำลายจากบรรยากาศที่มลภาวะเป็นพิษด้วย

ทานน้ำมันพืชอย่างไรให้คุ้มค่า


ทานน้ำมันพืชอย่างไรให้คุ้มค่า

              ในภาวะที่น้ำมันพืชขาดตลาดเช่นนี้ การใช้ประโยชน์ทุกหยดจากน้ำมันพืชเป็นเรื่องที่ควรคำนึงถึง เมื่อยิ่งหาซื้อยากแถมยังราคาแพง เราก็ควรปรุงอาหารให้ได้คุณค่าทางโภชนาการจากน้ำมันอย่างคุ้มค่าที่สุด
              น้ำมันที่ใช้ปรุงอาหารให้ดีกับสุขภาพนั้น ขั้นแรกควรเป็นน้ำมันที่มีสัดส่วนของกรดไขมันอิ่มตัวต่ำในปริมาณน้อย เนื่องจากไขมันชนิดนี้ทำให้ตับสร้างคอเลสเตอรอล หรือไขมันในเลือดชนิดเลว (LDL) เพิ่มขึ้น ซึ่งไม่ดีต่อหัวใจและหลอดเลือด อีกทั้งน้ำมันที่ใช้ในการผัด หรือทอดควรเป็นน้ำมันที่มีจุดเกิดควัน (smoke point) ค่อนข้างสูง เนื่องจากน้ำมันที่มีจุดเกิดควันต่ำไม่ทนความร้อน และเสี่ยงที่จะเกิดการก่อมะเร็งได้มากกว่าน้ำมันที่มีจุดเกิดควันสูง
              หากว่าคุณชอบทานผัดผักบุ้งไฟแดง ซึ่งเป็นตัวอย่างของอาหารที่ผัดด้วยไฟแรง ควรผัดด้วยน้ำมันรำข้าว น้ำมันเมล็ดชา และน้ำมันเมล็ดทานตะวัน เพราะจะไม่สูญเสียคุณค่าทางโภชนาการ น้ำมันกลุ่มนี้มีการวางจำหน่ายในบ้านเรา แต่ก็มีราคาค่อนข้างแพง ถึงกระนั้น น้ำมันเมล็ดทานตะวันก็มีจุดอ่อน ตรงที่สัดส่วนน้ำมันโอเมก้า 6 ต่อโอเมก้า 3 สูง อาจทำให้เกิดการอักเสบในร่างกายได้ง่าย ขณะที่น้ำมันปาล์มแม้มีจุดเกิดควันสูงพอๆ กับน้ำมันกลุ่มนี้ แต่ไม่ควรใช้ในการปรุงอาหารให้ผู้สูงอายุ หรือผู้ที่มีปัญหาเรื่องคอเลสเตอรอลสูง เพราะน้ำมันปาล์มมีไขมันอิ่มตัวสูง
              น้ำมันซึ่งเหมาะกับการผัดหรือทอดด้วยไฟแรงปานกลาง เช่น การผัดผักรวมมิตร ทอดหมู ทอดปลาได้ดี คือน้ำมันดอกคำฝอย น้ำมันคาโนลา น้ำมันถั่วเหลือง และน้ำมันงา ส่วนจุดเกิดควันของน้ำมันหมูอยู่ในช่วงนี้เช่นกันคือ 183-205 องศาเซลเซียส แต่เนื่องจากน้ำมันหมูมีไขมันอิ่มตัวและมีคอเลสเตอรอลสูงด้วย ทำให้ไม่เหมาะนำมาปรุงอาหาร ส่วนน้ำมันที่เหมาะกับการผัด หรือทอดไฟอ่อน ได้แก่ น้ำมันมะกอก น้ำมันข้าวโพดที่มีจำหน่ายในบ้านเราอย่างกว้างขวาง
              การแบ่งประเภทน้ำมันอีกวิธีหนึ่ง คือ ใช้อุณหภูมิ “ทอดน้ำมันท่วม (deep fry) เป็นตัวแบ่ง นั่นคือ น้ำมันที่จะใช้ผัดหรือทอดให้ดีจริงๆ ควรมีอุณหภูมิสูงกว่า 190 องศาเซลเซียส ซึ่งดูข้อมูลได้จากขวดที่บรรจุ แต่ถ้าถามว่าจะเลือกน้ำมันพืชชนิดใดดี แน่นอนว่าอันดับแรกราคาต้องไม่แพงมาก และควรมีสัดส่วนของไขมันไม่อิ่มตัวสูง ซึ่งช่วยลดคอเลสเตอรอลชนิดเลว (LDL) ได้โดยไม่ลดระดับคอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL) ด้วย และอาจเพิ่มคอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL) ได้ในคนบางคนซึ่ง “น้ำมันรำข้าว” นับเป็นทางเลือกที่ดีและราคาเหมาะสมในสถานการณ์น้ำมันราคาแพง เคล็ดลับในการใช้น้ำมันรำข้าวให้คุ้ม ก็คือการผสมกับน้ำมันถั่วเหลืองในบางโอกาส คือถ้าทอดความร้อนสูงหรือทอดน้ำมันท่วมให้ใช้น้ำมันรำข้าวอย่างเดียว ถ้าทอดความร้อนปานกลาง หรือต่ำให้ใช้น้ำมันรำข้าวผสมน้ำมันถั่วเหลือง
มื้อต่อไปหากอยากทานอาหารผัดอาหารทอด อย่าลืมเลือกใช้น้ำมันที่เหมาะสมกับการปรุงอาหารจานโปรดของคุณเพราะนอกจากจะคงคุณค่าทางโภชนาการได้ดีแล้ว ยังเป็นการช่วยให้ใช้น้ำมันได้อย่างมีคุณค่าสูงสุดในสถานการณ์เช่นนี้
 ที่มา ศูนย์ผู้บริโภค ซีพีเอฟ. “ครัวของโลก ครัวของคุณ : ทานน้ำมันพืชอย่างไรให้คุณค่า”ประชาชาติธุรกิจ.
10-13 มีนาคม 2554. หน้า 22.

จดหมายจาก...น้องตับ


จดหมายจาก...น้องตับ
                   ยา ทุกอย่างมาจาก สารเคมี* ตับเป็นแผลเป็นง่าย เมื่อเป็นแล้วเป็นอย่างถาวรเสียด้วย การกินยาเกินความจำเป็น เป็นนิสัยไม่ดีตับไม่สามารถ และ ไม่บอกคุณด้วยว่าตับประสพกับปัญหา  จนกระทั่งเกือบจะถึงวาระสุดท้ายของทั้งตับและคุณ เสียแล้ว    น่าสนใจ ให้ความรู้ดีมาก  ความจริงบางอย่างที่น่าสนใจเกี่ยวกับ "ตับ"
                             หวัดดี...ฉันคือ ตับ ของคุณ ให้ฉันเล่าให้คุณฟังว่า ฉันรักคุณมากเท่าใด  9  ข้อ
          1. ฉับสะสมธาตุเหล็กสำรองรวมทั้งวิตามิน และ แร่ธาตุ ต่างๆ ที่คุณต้องการหากไม่มีฉัน คุณก็จะไม่มีเรี่ยวแรงที่อยู่ต่อไป
          2.  ฉันผลิตน้ำย่อย สำหรับย่อยอาหารให้คุณหากไม่มีฉัน คุณก็สูญเสียอาหาร จนไม่มีอะไรเหลืออยู่
          3.  ฉันทำหน้าที่ล้างพิษของพวกสารเคมีที่คุณมอบให้ฉันไม่ว่าจะเป็น แอลกอฮอล์ เบียร์ ไวน์ ยาต่างๆ(ที่มีและไม่มีใบสั่งของแพทย์) รวมทั้งบรรดาสิ่งผิดกฎหมายทั้งหลาย  หากไม่มีฉันแล้ว นิสัยไม่ดีของคุณ ก็จะฆ่าคุณไปแล้ว
          4.  ฉันเก็บพลังงานเหมือนแบตเตอรี่ โดยสะสมน้ำตาล(คาร์โบไฮเดรท,กลูโคส และไขมัน) ไว้ให้คุณเมื่อคุณต้องการมันหากไม่มีฉัน ระดับน้ำตาลในเลือดของคุณจะลดลงต่ำมาก จนทำให้คุณล้มพับไป
          5. ฉันสร้างเลือดให้ระบบต่างๆ ของคุณ ก่อนที่คุณจะเกิดเสียอีกหากไม่มีฉันแล้ว  ก็คงจะไม่มีคุณอยู่ที่นี่*
          6.  ฉันผลิตโปรทีนใหม่ที่ร่างกายของคุณต้องการเพื่อการมี  สุขภาพดีและเจริญเติบโต  หากไม่มีฉันแล้ว  คุณก็จะไม่เจริญเติบโตอย่างที่ควร
          7.  ฉันกลั่นกรองสารพิษจากอากาศ ไอเสียรถยนต์ และสารเคมี ที่คุณหายใจเข้าไป หากไม่มีฉันแล้ว  คุณก็จะเหมือนถูกวางยาพิษโดยมลภาวะเหล่านั้น
          8.  ฉันผลิตสารทำให้เลือดแข็งตัว ถ้าคุณบังเอิญไปโดนอะไรบาดหากไม่มีฉันแล้ว คุณจะต้องตายเพราะเลือดไหลไม่หยุด
          9.  ฉันคอยต่อสู้ ป้องกันไม่ให้เชื้อโรคต่างๆ โจมตีคุณ ไม่ว่าจะเชื้อหวัด หรือ  ไข้หวัดใหญ่อะไรก็ตาม ฉันจะน็อคมันให้ตายหมด หรือ ไม่ก็ทำให้มันอ่อนแรงลง  หากไม่มีฉันแล้ว คุณก็เหมือนเป้านิ่ง รอให้สารพัดโรคโจมตี
ดูซิว่า ฉันรักคุณแค่ไหน.... แล้วคุณล่ะ รักฉันบ้างไหม ?  ขอให้ฉันบอกวิธีง่ายๆ ที่จะ รัก ฉัน, ตับ ของคุณ  
                   อย่ากดฉันให้ต้องจมลงในน้ำเบียร์ แอลกอฮอล์ หรือ ไวน์ เลย สำหรับบางคนแล้ว เพียงแก้วเดียว ก็ทำให้ฉันเป็นแผลเป็นไปตลอดชีวิต 
                   ระวังบรรดา "ยา" ทั้งหลาย ยาทุกอย่างมาจากสารเคมี*และเมื่อคุณเอามันมนผสมกันเข้า โดยไม่มีคำแนะนำจากแพทย์มันก็กลายเป็นยาพิษที่สามารถทำลายฉันได้อย่างดีทีเดียวละฉันเป็นแผลเป็นง่าย เมื่อเป็นแล้ว เป็นอย่างถาวรเสียด้วยบางครั้งยาก็เป็นสิ่งจำเป็น แต่การกินยาเกินความจำ เป็น เป็นนิสัยไม่ดี บรรดาสารเคมีเหล่านั้น สามารถทำลายตับได้
                   จงระวังบรรดากระป๋องสเปรย์ทั้งหลาย จำไว้ว่า ฉันจะต้องล้างพิษทุกอย่างที่คุณหายใจเอาเข้าไปด้วย
ดังนั้นเวลาคุณทำความสะอาดอะไรด้วยพวกสเปรย์ ต้องให้มีอากาศถ่ายเทได้สะดวก หรือสวมหน้ากากด้วย  อันตรายเพิ่มเป็นสองเท่า สำหรับพวกสเปรย์ฆ่าแมลง ฆ่าเชื้อรา สี และสารเคมีระวังว่าคุณหายใจเอาอะไรเข้าไป
                   ระวังว่าอะไรโดนผิวหนังคุณ ด้วย ยาฆ่าแมลงที่คุณฉีดต้นไม้ พุ่มไม้นั้นสามารถผ่านผิวหนังของคุณเข้ามาโจมตีฉันได้ด้วยป้องกันผิวหนังของคุณโดยการสวมถุงมือ ใส่เสื้อแขนยาว หมวก หน้ากากทุกครั้งที่คุณฉีดยาฆ่าแมลง
คำเตือน  ฉันไม่สามารถ และ ไม่บอกคุณด้วยว่าฉันประสพกับปัญหาจนกระทั่งเกือบจะถึงวาระสุดท้ายของทั้งฉันและคุณเสียแล้วจงจำไว้ว่า ฉันไม่ใช่ประเภทขี้บ่นให้ฉันทำงานหนักเกินไปโดยอัด ยา แอลกอฮล์ และ บรรดาอาหารขยะ  สามารถทำร้ายฉันได้!นี่อาจเป็นการเตือนครั้งเดียวที่คุณจะได้รับ  โปรดฟังคำแนะนำฟรีพาฉันไปให้คุณหมอตรวจการตรวจเลือด สามารถบอกปัญหาบางอย่างได้  ถ้าฉันยังอ่อนนุ่ม และไม่เป็นตะปุ่มตะป่ำ แสดงว่าฉันยังดีอยู่   ถ้าคุณหมอสงสัย  การอัลตร้าเซาวนด์ หรือ ซีที แสกน ช่วยได้อายุของฉัน กับอายุของคุณ ขึ้นอยู่กับว่า คุณดูแลฉันดีแค่ไหน คราวนี้คุณรู้แล้วละซี ว่าฉันรักคุณแค่ไหนได้โปรดดูแลฉันหน่อยด้วยความรักและผูกพัน
จาก เพื่อนร่วมชีวิตผู้สงบเงียบและคู่รักนิรันดรของคุณ ............   ตับ