วันจันทร์ที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ฟัง “คนกลาง (สอ.มก.)” แถลงบ้าง


ฟัง คนกลาง (สอ.มก.)” แถลงบ้าง

      เดิมทีแรกที่ให้มหาวิทยาลัยกู้ สหกรณ์น่าจะทำได้เพราะมหาวิทยาลัยยังเป็นสมาชิกสมทบอยู่ แต่เมื่อนายทะเบียนมีคำสั่งยกเลิก สอ.มก. ก็น่าจะหยุดให้กู้เพราะ “การขัดคำสั่งนายทะเบียนสหกรณ์นั้นมีผลร้ายแรงกับคณะกรรมการดำเนินการ”

          แต่ที่คณะกรรมการหลายๆ ปีมาแล้วกล้าทำเพราะ

      1)  คณะกรรมการเห็นว่าเงินกู้ต่างๆ นี้ล้วนแต่นำไปพัฒนามหาวิทยาลัยทั้งสิ้นเพราะถ้าไม่ได้เงินกู้จากสหกรณ์แล้วก็ยากที่จะพัฒนาให้มหาวิทยาลัยเจริญก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็วได้ เพราะรัฐบาลมุ่งให้มหาวิทยาลัยช่วยเหลือตนเอง และไม่มีงบประมาณให้

      2)     สหกรณ์สามารถนำเงินไปลงทุนโดยได้กำไรจากส่วนเหลื่อมที่มั่นคงแน่นอน แม้จะไม่สูงมากนักแต่ก็มั่นคงปลอดภัย เพราะมหาวิทยาลัยมีเงินฝากค้ำประกันและเท่าที่เป็นมามหาวิทยาลัยจ่ายดอกเบี้ยและเงินต้นโดยไม่มีปัญหาใดๆ (ลูกหนี้ชั้นดีเลิศ)

      3)   ในระยะเริ่มต้นให้มหาวิทยาลัยกู้ก็เคยได้รับคำชมเชยและยกย่องเป็นแบบอย่างจากกรมส่งเสริมสหกรณ์ว่าเป็นการใช้เงินทุนที่เป็นประโยชน์กับองค์กรแม่ (มก.)

     เมื่อเล็งเห็นว่าการ “ให้ มก.กู้” นั้นเกิดประโยชน์ทั้งมหาวิทยาลัยและสหกรณ์ออมทรัพย์ และไม่มีเหตุอันใดที่จะเกิดความเสียหายทางการเงินได้ (คือมีการเบี้ยวหนี้) คณะกรรมการหลายชุดที่ผ่านมาซึ่งต่างก็มีท่านอธิการบดีเป็นประธานคณะกรรมการสหกรณ์ จึงกล้าหาญในการที่จะอนุมัติให้มหาวิทยาลัยกู้เพื่อไปพัฒนามหาวิทยาลัยให้เจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็วได้ โดยมิได้เกรงกลัวที่จะถูกนายทะเบียนถอดถอนจากการเป็นกรรมการดำเนินการและไม่อาจสมัครเข้ามาเป็นกรรมการได้อีกเลย

     แล้วใครล่ะเดือนร้อนเรื่องนี้ ทั้งที่ มก. ก็ได้ประโยชน์ สอ.มก. ก็ได้ประโยชน์ ก็คงจะต้องมาคิดวิเคราะห์กันว่าผู้เดือดร้อนเขาต้องการอะไรกันแน่ อะไรคือเป้าซึ่งยังจะต้องค้นหากันต่อไป...แต่แน่ล่ะเรื่องทำนองนี้มักจะเป็นข่าวที่น่าสนใจแน่นอน

      เมื่อการให้มหาวิทยาลัยกู้มีแต่ได้กับได้โดยสุจริตและมิได้ก่อให้เกิดความเสียหายใดๆ แน่ทั้งในปัจจุบันและอนาคต คณะกรรมการ สอ.มก. ก็คงจะกล้าหาญในเรื่องนี้ต่อไป เว้นแต่มหาวิทยาลัยจะมิอาจกล้ากู้เพราะแม้จะมีประโยชน์ต่อ มก. ก็จริง แต่อาจจะมีผลเสียหายในทางราชการให้เกิดความมัวหมองได้

     สู้อยู่ไปวันๆ รอเกษียณแล้วค่อยคุยก็ได้ ว่าไม่เคยทำอะไรผิดเลย น่าจะดีกว่ามั้ง

“กรรมการเก่า-แก่”

วิสาขบูชา


วิสาขบูชา

          การบูชาในวันเพ็ญเดือน 6 ซึ่งเป็นวันประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพานของพระพุทธเจ้า พระองค์ทรงประสูติใต้ร่มไม้รัง (สาละ) ณ สวนลุมพินีวัน ตั้งอยู่ระหว่างกรุงกบิลพัสดุและกรุงเทวทหะ บัดนี้เรียกกรุงมินเด (Lumbini /Rummindei) อยู่ที่ปาเดเรีย ในประเทศเนปาลห่างจากเขตแดนประเทศอินเดียประมาณ 6½ กม. พระสิทธัตถะประสูติที่สวนนี้เมื่อวันเพ็ญเดือน 6 ก่อนพุทธศก 80 ปี มีปราชญ์คำนวณว่าตรงกับวันศุกร์ปีจอเวลาใกล้เที่ยง

          พระพุทธเจ้าตรัสรู้ที่ควงโพธิ์ (บริเวณใต้ร่มต้นโพธิ์) ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ที่ตำบลพุทธคยา (Budha Gaya /Bodh-Gaya) เมื่อวันเพ็ญเดือน 6 ก่อนพุทธศก 45 ปี ทรงเสด็จดับขัณฑ์ ปรินิพพานใต้ร่มไม้รัง (สาละ) ณ สาลวโนทยาน เมืองกุสินาราหรือกุสินครบัดนี้เรียก Kasia หรือ Kusinagara เมื่อพุทธศกที่ 1

          เป็นสิ่งมหัศจรรย์ยิ่งที่เหตุการณ์ทั้งสามเกิดขึ้นตรงกันในวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 (วิสาขปุรณมี) เราในฐานะชาวพุทธควรจะบูชากันอย่างไร การบูชาหมายถึงการให้ด้วยความเคารพนับถือ หรือการแสดงความเคารพเทิดทูนในพุทธศาสนามี 2 อย่างคือ อามิสบูชาและปฏิบัติบูชา หมายถึงการบูชาด้วยสิ่งของและการบูชาด้วยการปฏิบัติ

          การบูชาด้วยสิ่งของเช่นการกราบไหว้บูชาด้วยดอกไม้ธูปเทียนรวมถึงการบริจาคสิ่งของใส่บาตรหรือบริจาคทานต่างๆ ด้วยใจบริสุทธิ์ ส่วนการบูชาด้วยการปฏิบัตินั้นหมายถึง การปฏิบัติเคร่งครัดในศีล (ข้อห้ามต่างๆ ในพุทธศาสนา 5, 8, 10, 227 ข้อ) และการเจริญสมาธิภาวนาและสมาธิวิปัสสนาเพื่อก่อให้เกิดปัญญา พระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญยกย่องการบูชาด้วยการปฏิบัติว่าควรจะได้กระทำยิ่งกว่า

          ฉะนั้นเราชาวพุทธจึงควรอย่างยิ่งที่จะเคร่งครัดกับการรักษาศีล 5 หรือ ศีล 8 เจริญสมาธิภาวนาเนื่องในวันวิสาขบูชาเพื่อเป็นการบูชาพระพุทธเจ้าโดยพร้อมเพรียงกันเถิด

 

ต้นสาละ

        วัดในประเทศไทย ปัจจุบันนี้นิยมปลูกต้นไม้ชนิดหนึ่งมีชื่อเรียกว่าต้น สาละ ลำต้นตรงใบเป็นแฉกคล้ายใบตีนเป็ดหรือสัตตบรรณ ที่แปลกตรงที่ดอกออกตามกิ่งเล็กๆ บิดงอตามโคนต้น ดอกมีกลีบใหญ่สีชมพูสวยงาม ต่อมาดอกจะกลายเป็นผลหรือลูกกลมๆ ใหญ่สีน้ำตาลคล้ายลูกปืนใหญ่ ต้นไม้ต้นนี้จึงมีชื่อสามัญเป็นภาษาฝรั่งว่า Canon ball tree (ต้นลูกปืนใหญ่) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า “Couroupita surinamensis Martey Berg อยู่ในวงศ์ Lecythidaceae เป็นพรรณไม้ที่บรรดาพุทธศาสนิกชนในประเทศไทยสับสนเข้าใจว่าเป็นต้นสาละในพุทธประวัติ ท้จริงแล้วเป็นพรรณไม้พื้นเมือง (พวกไม่ผลัดใบ) ของประเทศร้อนทวีปอเมริกาใต้ เมื่อชาวโปรตุเกสยึดครองประเทศศรีลังกาอยู่นั้นได้ทำลายวัดวาอารามพุทธศาสนาและนำต้นลูกปืนใหญ่นี้จากอเมริกาใต้มาปลูกในสถานที่ต่างๆ ของศรีลังกาทั่วไป รวมทั้งบริเวณวัดที่ถูกทำลาย และให้ชาวศรีลังกาเรียกต้นไม้นี้ว่าสาละ” (sal) เช่นกัน เมื่อพระสงฆ์ไทยไปจาริกแสวงบุญศรีลังกาก็ได้นำพรรณไม้นี้มาปลูกในประเทศไทยเรียกชื่อกันว่า สาละลังกา ขอให้โปรดเข้าใจด้วยว่า ต้นไม้ต้นนี้ไม่มีความเกี่ยวข้องกับพุทธประวัติแต่อย่างใด (โธ่เอ่ยปล่อยให้โง่หลงกราบไหว้อยู่ได้)

            ส่วนต้นสาละพรรณที่พระพุทธเจ้าประสูติ ปฐมเทศนาและปรินิพพานใต้ต้นนั้นเป็นต้นแบบไหนกันแน่อุบไว้อ่านต่อฉบับหน้านะครับ

            ย่อความจาก เอกสารทางวิชาการของคุณธวัชชัย สันติสุข ท่านราชบัณฑิตทางด้านพรรณไม้

เรียบเรียงจาก บทความวิชาการของราชบัณฑิต  โดย คุณธวัชชัย สันติสุข

“โอนลอย...อันตราย”


“โอนลอย...อันตราย”

สงวน วุฒิกรวงศา (7122)

          เรื่องของการ “โอนลอย” ในการซื้อในการขายรถยนต์หรือรถจักรยานยนต์ก็ตาม โดยเฉพาะผู้ขายต้องระมัดระวังให้ดีในเรื่องของกฎหมายที่เกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน (รถที่ขายไป) ว่าได้โอนไปยังผู้ซื้อตามกฎหมายหรือไม่ มิฉะนั้นจะย้อนกลับมาเป็นปัญหาของผู้ขายได้ในภายหลัง ซึ่งผู้เขียนเองก็ได้ประสบปัญหาดังกล่าวมาแล้ว กล่าวคือบุตรของผู้เขียนเองได้ขายรถยนต์คันหนึ่ง (เก่ามากแล้ว) ให้กับเต้นท์ขายรถมือสองไปเมื่อประมาณเดือนธันวาคม 2546 และก็ไม่ได้ถ่ายหลักฐานใบสำคัญการโอนลอยไว้ จนกระทั่งได้รับหนังสือจากสำนักงานขนส่งเขตพื้นที่ 4 (หนองจอก) ลงวันที่ 8 สิงหาคม 2550 ความว่าให้ส่งป้ายทะเบียนรถและนำใบคู่มือจดทะเบียนรถมาบันทึกการระงับจดทะเบียนรถ พร้อมทั้งชำระภาษีที่เพิ่มที่ค้างชำระอีก 5,374.12 บาท ซึ่งได้ค้างชำระติดต่อกันครบสามปี เพราะมิฉะนั้นจะถูกปรับไม่เกิน 1,000 บาท ตามมาตรา 61 แห่งพระราชบัญญัติรถยนต์ 2522

          น่าจะยุ่งแล้วครับ “โอนลอย” ประเด็นปัญหาก็คือ ผู้ซื้อรถต่อจากเต้นท์ขายรถมือสองมิได้นำหลักฐานการซื้อขายไปจดทะเบียนโอน ณ สำนักงานขนส่งฯ จนล่วงเลยมาเป็นเวลา 3 ปี ซึ่งอายุความการจดทะเบียนรถต้องถูกระงับไปโดยกฎหมาย (รถกลายเป็นเศษเหล็กไปโดยปริยาย) ดังนั้นแน่นอนบุตรของผู้เขียนในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์รถที่ขายต้องตกเป็นผู้รับผิดตาม พ.ร.บ.รถยนต์ 2522

          แต่ช่องทางแก้ต่างก็ยังพอมีอยู่ กล่าวคือได้อ้างชื่อเจ้าของเต้นท์ขายรถมือสองที่รับซื้อรถ พร้อมทั้งแนบสำเนาเสียภาษีประจำปีก่อนขายรถที่เก็บไว้ 2 ปีไปเป็นหลักฐานด้วยโดยได้ตอบหนังสือไปยังสำนักงานขนส่งเขตพื้นที่ 4 (หนองจอก) ในนามบุตรของผู้เขียนเมื่อ 20 กันยายน 2550 อ้างว่ากรรมสิทธิ์รถยนต์ที่ขายได้โอนไปยังผู้ซื้อแล้วตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 458 ได้ความว่า “กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่ขายนั้นย่อมโอนไปยังผู้ซื้อตั้งแต่ขณะเมื่อทำสัญญาซื้อขายกัน” และตามฎีกาที่ 1025/2522 ฎีกาที่ 1562/2522 ได้ความว่า “การซื้อขายรถยนต์ เมื่อผู้ขายและผู้ซื้อได้ทำสัญญาซื้อขายกัน กรรมสิทธิ์ในรถยนต์ย่อมโอนไปยังผู้ซื้อทันที” และฎีกาที่ 60/2524 ความว่า “ซื้อขายรถยนต์เสร็จเด็ดขาด (ชำระราคาแล้ว) กรรมสิทธิ์โอนขณะทำสัญญา” (จดทะเบียนโอนเป็นเรื่องทีหลัง) ซึ่งเป็นเรื่องของกฎหมายเกี่ยวกับเจ้าหน้าที่ควบคุมยานพาหนะและเสียภาษีรถยนต์ ไม่ใช่แบบนิติกรรม ซึ่งผู้เขียนไม่ได้อ้างมาตราและฏีกาไป เพียงนำมาขยายความเพื่อให้ทราบในข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้เท่านั้น และทุกอย่างก็ยุติลงไม่ต้องรับผิดแต่อย่างใด

          ทางที่ดีการซื้อขายรถยนต์หรือรถจักรยานยนต์ควรไปโอนกัน ณ สำนักงานขนส่งจะปลอดภัยกว่า หรือถ้า “โอนลอย” ก็สำเนาเก็บหลักฐานไว้ไม่ประมาท ทั้งนี้หากผู้ซื้อรถนอกจากจะไม่นำหลักฐานไปโอนแล้วอาจนำรถไปก่ออาชญากรรม เช่น นำไปลักทรัพย์หรือปล้นทรัพย์และกระทำผิดกฎหมายอื่นใด ปัญหาที่จะแก้ไขแก้ต่างก็ยุ่งยากยิ่งขึ้นอาจถึงขั้น “โอนลอยอันตราย” จำต้องย้ายนิราศสถานไปอยู่ในทัณฑสถานก็เป็นไปได้!!!!

เหตุที่ทำให้เกิดความสุข


เหตุที่ทำให้เกิดความสุข

           หนังสือ time magazine บอกว่า ที่อเมริกา มีงานวิจัยพบว่าคนที่มีความสุขมากที่สุดในโลก คือพระในพุทธศาสนา โดยทดสอบด้วยการสแกนสมองพระที่ทำสมาธิและได้ผลลัพธ์ออกมาว่าเป็นจริง
+
หลักความเชื่อของศาสนาพุทธ คือ เหตุที่ทำให้เกิดความสุข นั้นก็คืออยู่กับปัจจุบันขณะ ปล่อยวางได้ในสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว What is over, is over. ควบคุมความอยากที่ไม่มีสิ้นสุดได้
+ ไม่ใช้ความรุนแรง ไม่ทะเลาะ และใช้หลัก เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวรให้อภัยตัวเองและผู้อื่น มีจิตใจเมตตา กรุณา และเสียสละเพื่อผู้อื่น + อริยะ สัจ 4 สิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบและบอกไว้ด้วย ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค แท้จริงแล้วก็คือทางเดินไปหาคำว่า "ความ สุข" เพราะ ถ้าเมื่อไรเรา กำจัด "ความ ทุกข์" ได้ แล้วความสุขก็จะเกิดขึ้น
+
อุปสรรค ของความสุขก็ คือแรงปรารถนาไม่สิ้นสุด และ ตัณหา คนเราจะมีความสุขไม่ขึ้นอยู่กับว่า"มี เท่าไร" แต่ ขึ้นอยู่ที่ว่า เรา "พอ เมื่อไร" ความสุขไม่ได้ขึ้นกับจำนวนสิ่งของที่เรามี หรือเราได้...
+ ดังนั้นวิธีจะมี ความสุขอันดับ แรกต้อง "หยุด ให้เป็น และ พอ ให้ได้" ถ้า เราไม่หยุดความอยากของเราแล้วละก็เรา ก็จะต้องวิ่ง ไล่ตามหลายสิ่งที่เรา "อยาก ได้" แล้ว นั่นมันเหนื่อย และความทุกข์ ก็จะตามมา
...
+ ข้อ ต่อมาที่ทำให้ เราเป็นสุขคือ การมองทุกอย่าง ในแง่บวก ชีวิตแต่ละวันแน่นอนเราต้อง เจอทั้งเรื่องดีและไม่ดี ถ้าเราอยากจะมีความสุข เราต้องเริ่มด้วยการมองแต่สิ่งดีๆ มองให้เป็นบวก เพื่อใจเราจะได้ เป็นบวก คิดถึงสิ่งที่เราทำสำเร็จแล้วในวันนี้ สิ่งดีๆที่เราได้ทำ

+ ข้อ ต่อมาคือการให้ หมายรวมถึงการให้ในรูปแบบ สิ่งของหรือ เงินบริจาคและการให้ ความเมตตากรุณาต่อกัน ให้ อภัยทั้งตัวเองและคนอื่น สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นปัจจัยทำให้เรามีความสุข....
+ การ ปล่อยวางให้ได้ ในทุกสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว และที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตไม่ว่าเรื่องจะ ร้ายแรงและ เศร้าโศกเพียงใด จำไว้ว่ามันจะโดนเวลาพัดพามันไปจากเรา ไม่ช้าก็ เร็วเราจะผ่านพ้นไปได้....และยอมรับในความเป็นจริงของชีวิตไม่ว่าจะเป็น เรื่องที่เราไม่ชอบเพียงใด ไม่ว่าผิดหวัง สูญเสีย เจ็บป่วย ล้วนแล้วแต่เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเรา ทุกคนต้องได้ผ่านบททดสอบนี้ทั้งสิ้น ไม่ว่าเราจะเป็นใคร...

+ ทำตนเองให้สดใส ด้วยการยิ้มให้ตนเอง ทำคนอื่นให้สดใสได้ ด้วยการยิ้มให้เขา การยิ้มไม่ต้องลงทุนอะไรเลย แต่สร้างความสดใสได้มาก ทำให้เราเป็น สุขอยู่เสมอ เพราะความสุขมันอยู่ใกล้แค่นี้เอง แค่ที่ใจของเรานี่เอง ยิ้มแย้มอย่างแจ่มใสเห็นใครทักก่อน นี่คือ.. วิธีแสดงเสน่ห์แบบง่ายๆ แต่ให้ผลมาก
            การให้อภัยไม่ต้องลงทุนอะไรเลย แต่การแก้แค้นลงทุนมาก เขาด่าว่าเราไม่ถึงนาที เขาอาจลืมไปแล้วด้วย แต่เรายังจดจำ ยังเจ็บใจอยู่... นี่เราฉลาดหรือโง่กันแน่ บ่นแล้วหมดปัญหาก็น่าบ่น บ่นแล้วมีปัญหา ไม่รู้จะบ่นหาอะไร เรายังเคยเข้าใจผิดผู้อื่น ถ้าคนอื่นเข้าใจเราผิดบ้าง ก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องแปลกอะไร ทำไมต้องเศร้าหมอง ในเมื่อเราไม่ได้เป็นอย่างที่ใครเข้าใจ อย่าโกรธฟุ่มเฟือย อย่าโกรธจุกจิก อย่าโกรธไม่เป็นเวลา อย่าโกรธมาก จะเสียสุขภาพกาย และสุขภาพจิต แม้จะฝึกให้เป็นผู้ไม่โกรธไม่ ได้ แต่ฝึกให้เป็นผู้ไม่โกรธบ่อยได้ ฝึกให้เป็นผู้รู้จักให้อภัยได้การนินทาว่าร้ายเป็นเรื่องของเขา การให้อภัยเป็นเรื่องของเรา การชอบพูดถึงความดีของเขา คือความดีของเรา การชอบพูดถึงความไม่ดีของเขา คือความไม่ดีของเรา โทษคนอื่นแก้ไขอะไรไม่ได้ โทษตนเองแก้ไขได้แก้ตัวไม่ได้ช่วยอะไร แต่แก้ไขช่วยให้ดีขึ้น การนอนหลับเป็นการพักกาย การทำสมาธิเป็นการพักใจ คนส่วนใหญ่พักแต่กาย ไม่ค่อยพักใจ
           รู้จักทำใจให้รักผู้บังคับบัญชา รู้จักทำใจให้รักลูกน้อง

            รู้จักทำใจให้รักเพื่อนร่วมงาน สวรรค์ก็อยู่ที่ทำงาน
            เกลียดผู้บังคับบัญชา เกลียดลูกน้อง เกลียดผู้ร่วมงาน นรกก็อยู่ที่ทำงาน
            การที่เรายังต้องแสวงหาความสุข แสดงว่าเรายังขาดความสุข แต่ถ้าเรารู้จักทำใจให้เป็นสุขได้เอง ก็ไม่ต้องไปดิ้นรนแสวงหาที่ไหนอ่อนน้อม อ่อนโยน อ่อนหวาน นั้นดี.... อ่อนข้อให้เขาบ้างก็ยังดี แต่...อ่อนแอนั้น ไม่ดี ในการคบคน ศิลปะใดๆ ก็สู้ความจริงใจไม่ได้

            จงประหยัด คำติ แต่อย่าตระหนี่ คำชม อภัยให้แก่กันในวันนี้ ดีกว่าอโหสิให้กันตอนตาย

            ถ้าคิดทำความดี ให้ทำได้ทันที ถ้าคิดทำความชั่ว ให้เลิกคิดทันทีถ้าเลิกคิดไม่ได้ ก็อย่าทำวันนี้ ให้พลัดวันไปเรื่อยๆ
ถึงจะรู้ร้อยเรื่องพันเรื่อง ก็ไม่สู้รู้เรื่องดับทุกข์ โลกสว่างด้วยแสงไฟ ใจสว่างด้วยแสงธรรม แสงธรรมส่องใจ แสงไฟส่องทาง
ผู้สนใจธรรม สู้ผู้รู้ธรรมไม่ได้  ผู้รู้ธรรม สู้ผู้ปฎิบัติธรรมไม่ได้  ผู้ปฎิบัติธรรม สู้ผู้ที่เข้าถึงธรรมไม้ได้
          มีทรัพย์ ย่อมมีความสะดวก  มีธรรม ย่อมมีความสุข เมื่อก่อนยังไม่มีเรา เราเพิ่งมีมาเมื่อไม่นานมานี้เอง และอีกไม่นานก็จะไม่มีเราอีก จึงควรรีบทำดี ในขณะที่ยังมี...เรา

อีเมล์ส่งต่อ...คุณอรัญนาถ วิริยารัมภะ (7544)