วันพุธที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2555

คิดบวกช่วยได้หลายโรคๆ


คิดบวกช่วยได้หลายโรคๆ
ตอนที่ผมเรียนเรื่องจิตใต้สำนึกกับ อ.อมรา ตัณฑ์สมบุญ ได้มีกรณีที่มีคนเป็นโรคหลายๆ อย่างแล้วใช้การคิดบวก จนทำให้หายจากโรคเหล่านั้นได้
การคิดบวกก็คิดได้ไม่ยากอะไร เพียงแต่คิดบ่อยๆ ว่า เราไม่เป็นๆๆ เราจะหายๆๆ เราแข็งแรงๆๆ ก็มีส่วนช่วยให้ดีขึ้นได้
หลายๆ ปี ก่อนผมเป็นคนที่เวลาไม่สบายจะไม่สบายนานมาก เริ่มจากอาการเจ็บคอ แล้วตามมาด้วยเป็นไข้หวัด และจบด้วยการไอมาราธอน ซึ่งครั้งที่ไอยาวที่สุด คือ 100 วัน ตามที่คนจีนเรียกกันว่า "ไอร้อยวัน" ฉะนั้นเวลาเจ็บคอ ผมก็มักจะกลัวว่าจะต้องไอยาว แล้วส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นไปตามที่กลัว  ระหว่างที่เจ็บคอ เป็นหวัดและไอก็ต้องกินยาแก้ไอ ยาแก้หวัดและยา Antibiotic เป็นเดือน กินครบ Dose แล้วก็เปลี่ยนยาใหม่ เพราะยาเก่ากินไม่ได้ผลแล้ว  เป็นอาการนี้ซ้ำๆ ทุกปี ปีละประมาณ 2 หน
จนกระทั่งปี พ.ศ. 2540 ซึ่งเป็นปีที่เศรษฐกิจไทยมีปัญหา ผมก็ถามตัวเองว่าผมจะช่วยแก้สถานการณ์ของบริษัท ที่ผมต้องรับผิดชอบได้อย่างไร คำตอบของผม ก็คือ
            1. ผมต้องมีจิตใจที่ผ่องใส                                               2. ผมต้องสนใจงานมากขึ้น และขยันขึ้น
3. ผมต้องเอาใจใส่ในความต้องการของลูกค้ามากขึ้น             4. ผมต้องปรับทุกอย่างให้เร็วขึ้น
5. ผมต้องมีสุขภาพที่ดีขึ้น (ไม่ป่วย)
การที่บอกตัวเองว่า ต้องไม่ป่วย นั้น มีความสำคัญต่อผมมาก ผมเริ่มคิดค้นวิธีการที่จะทำให้ผมไม่ป่วย โดยการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอแบบ Aerobic คือ ใช้การวิ่งบนสายพาน เวลาวิ่งก็ต้องคิดว่า
1. เราไม่เบื่อ เราสนุกกับการวิ่ง (คิดบวก) เพราะบางคนชอบพูดว่าการวิ่งบนสายพานนั้นน่าเบื่อ
2. คิดว่าการวิ่งเป็นการเสริมสุขภาพแทนการกินยา หรือกินวิตามิน (คิดบวก)
3. การวิ่งทำให้เลือดในร่างกายต้องสูบฉีดแรงขึ้น เป็นการล้างเลือดให้สะอาด โดยเฉพาะเส้นเลือดในสมอง ซึ่งเป็นเส้นเลือดที่เล็กมากและอยู่สูงกว่าหัวใจ ฉะนั้นตอนผมวิ่งเสร็จจะรู้สึกสดชื่น  ผมก็พูดกับตนเอง ว่า สมองเราจะดีขึ้นๆ (คิดบวก)
มีคนบอกว่า ถ้าวิ่งบ่อยๆ เข่าจะเสีย ผมก็เลยบอกกับตัวเองว่า จะวิ่งยังไงเข่าก็ไม่เสีย (คิดบวก)  ฉะนั้นผมจึงวิ่งด้วยความระมัดระวัง  โดย
1. ใช้รองเท้าวิ่งที่ดี
2. ใช้วิธีวิ่งที่กระแทกกับสายพานให้น้อยที่สุด ซึ่งต้องฝึกและใช้ความพิถีพิถันในการวิ่ง รวมทั้งใช้วิธีวิ่งแบบก้าวยาวบ้าง สั้นบ้าง
3. เริ่มวิ่งจากช้าไปหาเร็ว และจากเร็วมาหาช้า
4. เมื่อมีอาการเจ็บแม้แต่เล็กน้อยก็จะหยุดวิ่งเปลี่ยนเป็นการเดินแทน               5. ไม่วิ่งเร็วจนเกินไป
หลังจากได้วิ่งออกกำลังอยู่ประมาณ 6 เดือน สุขภาพของผมก็ดีขึ้น ดูได้จากการที่ผมไม่เจ็บป่วยอีกเลย ตลอดเวลา 7 ปี เวลารู้สึกเจ็บคอก็จะรีบกลั้วคอด้วยน้ำยากลั้วคอ พอตื่นเช้าอาการก็มักจะหายไป
พอหลัง 7 ปีมีการเปลี่ยนแปลงครั้งหนึ่ง คือ คุณอำพล  สุวรรณจิต (ถึงแก่กรรมแล้ว) ด้วยความรักและห่วงใย นำโสมแดงผสมกาแฟมาให้ผมดื่ม ชงให้เสร็จ  แล้วบอกว่า โสมแดงนี้ร้อน  เคยให้คุณจินตหรา  สุขพัฒน์ ดื่มแล้วเสียงหายไปเลย  ผมก็คิดบวกโดยบอกว่า ผมดื่มแล้วรับรองไม่มีปัญหา  ผมก็เลยดื่มหมด  ปรากฏว่าวันรุ่งขึ้นตื่นเช้าขึ้นมาเจ็บคอมาก  และกลั้วคอยังไงก็ไม่หาย  และเป็นไข้ และไอยาว  ตามแบบฉบับที่เคยเป็นมาในอดีต  ผมต้องใช้เวลาอีกประมาณปีเศษ  จึงจะปรับให้ตัวผมกลับมาไม่ป่วยอีก และก็ยังมีควันหลงป่วยอีก 2-3 ครั้งหลังจากนั้น
ตอนนี้ผมก็ไปเป็นเกือบเหมือนเดิม เวลาไม่สบายเจ็บคอ เป็นไข้ เป็นหวัด ไอยาว  ก็แค่ประมาณ 3 วัน แทนที่จะเป็น 3 เดือนเหมือนแต่ก่อน โดยการกำหนดจิตว่า จะหายเร็วๆๆ และก็พยายามออกกำลังให้สม่ำเสมอเท่าที่งานผมจะอำนวย
ที่เล่ามาทั้งหมดก็เพื่อจะบอกว่า การคิดบวกมีประโยชน์ต่อร่างกายของเรา และรักษาโรคหลายๆ อย่างได้ด้วย ตอนที่เรียนกับ อ.อมรา คนที่เรียนอยู่ข้างๆ ผมเล่าว่า อาม่าของเขาป่วยเป็นมะเร็งขั้นสุดท้ายแล้ว แพทย์บอกว่าจะอยู่ได้อีกไม่นาน แต่อาม่าไม่ยอมรับว่าตนเองเป็นมะเร็ง แล้วก็คิดว่าไม่เห็นเป็นอะไร  สุดท้ายไปตรวจใหม่ มะเร็งหายไปไหนหมดก็ไม่รู้ มีกรณีอย่างนี้เกิดขึ้นอีกมากมาย เกิดจากการคิดบวกที่มีผลต่อการกำหนดจิตใต้สำนึก ซึ่งจิตใต้สำนึกมีพลังมาก และเป็นผู้ควบคุมเซลล์มะเร็ง (ตามการบอกเล่าของ อ.สรพล ทรรศนีย์ โดยที่อาจารย์ได้ความคิดนี้มาจากทางประเทศญี่ปุ่น) พลังจิตจักรวาลก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ใช้ได้ผลกับมะเร็งหลายประเภทได้ผลมาแล้ว ผมเชื่อว่าส่วนหนึ่งน่าจะเกิดจากพลังจิตที่หวังดีของคนที่รักษาส่งไปที่คนที่กำลังรับการรักษาทำให้หายจากโรคร้ายได้ เพราะจิตของทุกคนมีพลัง ฉะนั้นคนที่ฝึกพลังจิตจักรวาลก็ย่อมมีพลังที่จะช่วยให้โรคต่างๆ ของผู้อื่นหายได้มากกว่าคนที่ไม่มีพลังจิต
จิตที่เป็นกุศลย่อมมีพลังบารมีมากกว่าจิตที่เป็นอกุศล
ในหนังสือ "The Secret" ก็ได้เล่าถึงผู้หญิงคนหนึ่งที่เป็นมะเร็ง แต่ตนเองยังมีลูกเล็กๆ อยู่ ก็เลยบอกกับตนเองว่าตายไม่ได้ เพราะลูกยังเล็กอยู่ ก็ทำให้มะเร็งที่เป็นหายไป และก็ยังมีอีกกรณีหนึ่ง ซึ่งเป็นพี่สาวของผู้บริหารของบริษัท ซึ่งเป็นมะเร็งในขณะที่ลูกๆ ยังเล็กอยู่ ก็บอกกับตัวเองว่า ลูกยังเล็กอยู่ ยังตายไม่ได้เดี๋ยวลูกไม่มีคนดูแล และขออยู่ต่อไปจนลูกรับปริญญาก่อน ตนก็สามารถประคับประคองตนไปได้อีกกว่า 20 ปีจนลูกรับปริญญาแล้วตนก็เสียชีวิตไป
ทั้งสองคนดูเหมือนได้เจรจากับยมบาลขอให้ต่อชีวิตให้ตนเอง ซึ่งหลายๆ คนอาจจะไม่เชื่อ แต่ถ้าจะลองขอต่อชีวิต น่าจะไม่มีอะไรเสียหาย ความเชื่อความศรัทธาในสิ่งที่เร้นลับมีความสำคัญ ไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่ และบางทีอาจจะได้ผลก็ได้และไม่ได้เสียต้นทุนอะไรมาก แต่ถ้าลองแล้วอาจได้ผลก็น่าจะลอง  แต่ที่สำคัญ ต้องทำความดี ทำบุญทำทานให้มากควบคู่ไปด้วย
มีตัวอย่างคนที่เป็นแพทย์แล้วเป็นมะเร็งจนเพื่อนแพทย์ที่รักษามะเร็งบอกว่า เป็นขั้นสุดท้ายไม่มีทางรักษาแล้ว ให้กลับไปพักผ่อนใช้ชีวิตในบั้นปลายให้สงบสุข แต่แพทย์คนนี้สู้ด้วยวิธีรักษาแบบพลังจักรวาลจนไปตรวจใหม่ปรากฏว่ามะเร็งทั้งหมดหายไป กรณีแบบนี้มีมากมายทั้งที่มะเร็งหายไปเลย หรือสามารถอยู่ร่วมกับมะเร็งอย่างถ้อยทีถ้อยอาศัยไปได้อีกนาน โดยเฉพาะคนที่มีภาระต้องเลี้ยงดูลูกน้อย และมีการทำบุญมามากพอ เจ้ากรรมนายเวรไม่มารุมเร้าจึงมีโอกาสรอด เพราะเทพเทวดาหรือยมบาลทั้งหลายนั้นก็เคยเป็นมนุษย์อย่างเราด้วยกันทั้งนั้น ก็ย่อมมีความเห็นอกเห็นใจ จึงบันดาลให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้อย่างอัศจรรย์

ที่มา : บุญเกียรติ โชควัฒนา (กรุงเทพธุรกิจ 21 ม.ค. 2554)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น