วันจันทร์ที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2556

งานแบบไหนดี


งานแบบไหนดี

วิธีมองเส้นทางสายอาชีพที่ผมชอบที่สุดน่าจะเป็นแนวคิดของ Seth Godin เรื่อง The Dip

Godin บอกว่า งานใดๆ ที่คุณกำลังทำอยู่นั้นจะจัดอยู่ในจำพวกใดจำพวกหนึ่งในสามจำพวก คือ The Dip ทางตัน และเหว

ถ้าเป็นเหว ทุกอย่างดูดีไปหมดตั้งแต่แรกเลย ยิ่งเดินทางนี้ก็ยิ่งชอบ เพราะว่าสบาย พอสบายก็ยิ่งติดใจถลำลึกเข้าไปเรื่อยๆ จนถอนตัวไม่ขึ้น แต่พอวันที่รู้ว่า มันคือเหว ทุกอย่างก็สายเกินกว่าที่จะหันหลังกลับได้แล้ว ต้องก้มหน้ารับเคราะห์กรรมจากความมักง่ายที่ผ่านมาทั้งหมดของตัวเราเอง

ตัวอย่างของ เหว ก็เช่น การสูบบุหรี่ ยิ่งสูบก็ยิ่งสบาย เพราะคลายเครียด ยิ่งสบายก็ยิ่งติด ยิ่งติดก็ยิ่งสูบมากขึ้น สุดท้ายพอหมอมาบอกว่า คุณเป็นมะเร็งปอด ให้คุณเปลี่ยนตัวเองหันมาดูแลสุขภาพแค่ไหนก็ไม่ทันแล้ว ต้องก้มหน้าก้มตารับเคราะห์ไป

สำหรับทางตัน นั้นจะเป็นทางเดินที่เดินแล้วรู้สึกว่าง่ายเช่นเดียวกับเหว แต่ยิ่งเดินต่อไปก็จะยิ่งรู้สึกว่าเราไม่ได้พัฒนาอะไรขึ้นเลย (แต่ในเวลาเดียวกันก็ไม่ได้แย่ลงด้วย) เราจะค่อยๆ เสพติดกับความคิดที่ว่าอยู่เฉยๆ แบบนี้ก็ดีแล้วนี่ จะไปดิ้นรนทำไม สุดท้ายแล้ว แม้ว่าเราจะไม่ได้ถึงกับตกเหว แต่เราก็จะหยุดอยู่นิ่งกับที่ กลายเป็นคนธรรมดาที่ไม่ประสบความสำเร็จในชีวิตการงานอะไรเลยสักอย่างไปจนเกษียณ

คุณคงนึกตัวอย่างออกนะครับว่างานอะไรบ้างที่เป็นทางตัน เพราะงานพวกนี้พร้อมจะให้คุณเข้ามาทำได้ทุกเมื่ออยู่แล้ว ไม่ได้หายากอะไร ส่วนใหญ่มักเป็นงานที่ไม่มีใครแย่งกันทำ

แต่ถ้าเป็นทางเดินแบบสุดท้ายที่เรียกว่า Dip นั้น ให้คุณนึกถึงทางขึ้นเนินเตี้ยๆ แล้วกลายเป็นทางลงที่ลากยาวและไกลกว่าขาที่ขึ้นมา ก่อนที่จะกลับมาเป็นทางขึ้นอีกครั้งแบบขึ้นภูเขาสูงไปเลย

งานแบบ The Dip นี้ ตอนแรกๆ จะรู้สึกสนุกและได้พัฒนาตนเองเช่นกัน แต่ยิ่งเดินต่อไปเรื่อยๆ จะค่อยๆ รู้สึกว่ามันเริ่มเดินยากขึ้นๆ ทุกที คล้ายๆ กับว่าเรากำลังแย่ลง เพราะเรารู้สึกว่าทำไมมันถึงได้ยุ่งยากขนาดนี้ ตอนนี้แหละที่คนจำนวนมากที่ลองเดินทางนี้จะเริ่มตีจากไปเรื่อยๆ เพราะสัญชาตญาณที่บอกว่า อะไรที่ยากลำบาก มันน่าจะไม่ดี หรือมีอันตรายอยู่

แต่จะมีคนจำนวนน้อยเท่านั้นที่ยังเลือกที่จะเดินทางนี้ต่อไป ด้วยความตั้งใจจริงที่จะเป็นเลิศในเส้นทางนี้ให้ได้ และเมื่อเขาสามารถอดทนจนผ่านหุบเขาที่แทบไม่เหลือใครที่อดทนมากพอที่จะเดินตามมาได้แล้ว หลังจากนี้ไปมันคือ ทางขึ้นอย่างเดียว เพราะเขาได้กลายเป็นของหายากที่มีคนจำนวนน้อยเท่านั้นที่แข่งกันเขาได้ รางวัลที่เขาจะได้รับหลังจากจุดนี้ไปจะมากเกินคุ้มกับความยากลำบากที่ได้เผชิญมาทั้งหมดในตอนต้น

Godin กล่าวว่า ถ้าเราพบว่า ทางที่เรากำลังเดินอยู่เป็นเหวหรือทางตันก็ให้รีบหยุดเดินทันที (ต้องอาศัยความเด็ดเดี่ยวในการหยุดด้วย) เพราะทางที่ควรเดินมากที่สุดคือทางแบบ The Dip เท่านั้น อย่าปล่อยเวลาให้เปล่าประโยชน์ไปกับทางอีกสองแบบเลยเป็นอันขาด

ตัวอย่างในชีวิตจริงของ The Dip นั้นมีอยู่มากมาย กีฬาทุกชนิดถ้าเริ่มต้นเล่นแบบขำๆ มันจะสนุกทั้งนั้น เพราะกีฬาเป็นกิจกรรมบันเทิงอย่างหนึ่ง แต่คนที่จะเล่นจนกลายเป็นนักกีฬาทีมชาติได้นั้นมีน้อยมาก เพราะมันต้องผ่านช่วงเวลาของการฝึกฝนอย่างหนัก ซึ่งไม่ใช่ของสนุกอีกต่อไป จึงมีคนจำนวนน้อยมากๆ ที่จะผ่านระดับนี้ขึ้นไปได้ และกลายเป็นเหตุผลที่ทำให้คนที่ผ่านมันไปได้สำเร็จ ย่อมได้รับผลตอบแทนเป็นทวีคูณที่มากกว่าคนอื่นๆ

วิชาชีพอย่างเช่น แพทย์ หรือผู้พิพากษา ก็เป็นตัวอย่างของ The Dip เช่นเดียวกัน ก่อนที่พวกเขาจะมีวันนี้ พวกเขาต้องผ่านการนั่งอ่านหนังสือมาอย่างมหาศาล ต้องยินดีสละเวลาในช่วงชีวิตวัยรุ่นไปส่วนหนึ่งแทนที่จะได้เที่ยวเล่นมากเท่ากับคนอื่นๆ ต้องสอบแข่งขันกับคนจำนวนมากด่านแล้วด่านเล่า กว่าจะได้เป็นหมอหรือผู้พิพากษาเต็มตัวส่วนใหญ่ก็ต้องเข้าสู่วัยที่เกินครึ่งหนึ่งของชีวิตไปแล้ว เมื่อผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดมาได้แล้ว พวกเขาจึงได้รับผลตอบแทนที่คุ้มค่ามากกว่าคนทั่วไปในภายหลัง

มีการวิจัยพบว่า นักขายส่วนใหญ่มักจะล้มเลิกความพยายามเมื่อถูกปฏิเสธติดต่อกัน 4-5 ครั้ง แต่นักขายมักจะได้ออเดอร์จากลูกค้าคนที่ 7-8 การทำธุรกิจก็เช่นเดียวกัน นักธุรกิจส่วนใหญ่มักไม่ได้ประสบความสำเร็จในธุรกิจแรกสุดที่ทำ แต่มักจะต้องเคยล้มเหลวมาแล้วหลายครั้ง กว่าจะได้เจอโอกาสที่เหมาะกับตัวเองจริงๆ คนที่ใช้ความรู้สึกตัดสินงานทุกอย่าง อะไรที่รู้ว่ามันยากก็จะตัดสินว่ามันไม่ดี และล้มเลิกไปทันที พวกเขาจะพลาด The Dip ไปทุกๆ ครั้งที่พวกเขาได้เจอมัน เพราะว่าไม่เคยใช้ความพยายามกับเรื่องไหนมากพอที่จะถึงที่มันดีพอที่จะเริ่มต้นประสบความสำเร็จได้ และจะวนเวียนอยู่กับการเปลี่ยนงานไปเรื่อยๆ เพราะมัวหาแต่ทางลัดทางสบาย

ถือเป็นวิธี "เลือกงาน" ในแบบที่น่าสนใจทีเดียว

ที่มา : นรินทร์ โอฬารกิจอนันต์; กรุงเทพธุรกิจ; 28 .. 55

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น