วันอังคารที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2556

เรื่อง เอาใจเขามาใส่ใจเรา


เรื่อง  เอาใจเขามาใส่ใจเรา

          เอาใจเขามาใส่ใจเรา เป็นประโยคที่ใครๆ ชอบพูดกัน แต่จะมีสักกี่คนที่ เอาใจเขา มาใส่ใจเราได้ จริงจัง ความเห็นใจที่เกิดจาก ความรู้เข้าไปในใจ  ไม่ใช่ จำเอามาพูดที่ปากเท่านั้น

            ทำอย่างไรจะรู้ใจเขาเป็นอย่างไร....เข้าไปนั่งในใจเขา?  นั่งอยู่ในใจเขาแล้วดูใจเขา... มองเขาเป็นยังงั้นยังงี้....ก็ยังไม่แน่ว่าทำให้รู้ใจเขาได้ ..... ถ้าสถานการณ์ ไม่เหมือน ไม่ใช่ มันก็รู้สึกไม่ได้ ได้แค่คิด คิด นึก นึก เอา มันต้องประมาณว่า ต้องกินอย่างเขา อยู่อย่างเขา รับแรงกดดันบีบคั้นเหมือนที่เขารับ แม้กระทั่ง อาจต้องสูดดมกลิ่นอายเดียวกันกับเขา จึงอาจจะรู้ใจเขาได้

            เราเพิ่ง get ความรู้สึกในใจของ คนติดคุก ได้เมื่อวานนี้เอง   เรื่องมีอยู่ว่า ......

ตอนนี้เราได้งานใหม่ เงินเดือนไม่มาก สมกับที่งานไม่มีให้ทำ ทั้งวันก็นั่งเฝ้า Office กลางคืน ก็นอนใน Office อยู่คนเดียว ในอาคารพาณิชย์ 2 คูหา 4 ชั้น?  กลางวันมีคนมาทำงานอีก 2 คน แต่เราดันทะเลาะกัน ต่างคนต่างไม่พูดกัน ต่างคนต่างมองไม่เห็นกัน พวกเราทุกคนใช้ยุทธวิธีเดียวกัน คือ มีเธออยู่ก็เหมือนไม่มี  ไม่รับรู้ถึงการมีตัวตนของอีกฝ่าย ฉะนั้น ทั้งวัน เราไม่ได้พูดกับผู้คนอื่นเลย ยกเว้นเจ้าคนขับรถเครื่องมาขายผลไม้เท่านั้น  2 คนที่ว่าเป็น แผนก cell man เข้า Office แป๊บหนึ่งก็ออกไป เราก็อยู่คนเดียว พอ 5 โมงเย็นก็รูดประตูเหล็กม้วนลง ปิดล็อคประตูทุกบานหมด Office ก็เป็นเหมือนถ้ำ แรกๆ เราดีใจเหมือนได้อยู่วิเวก ใช้เวลาก่อนนอนเดินจงกรมได้ 2 ชั่วโมงทุกวัน แล้วนอนตอน 4 ทุ่ม ตื่น ตี 3 ตี 4 แล้วแต่มันจะตื่น แล้วก็นั่งสมาธิ 1 บัลลังค์ พอ 6 โมงเช้า ก็ทำความสะอาด Office ไม่มีอะไรมาก กวาด ถู แป๊บเดียวก็เสร็จ อาบน้ำ แต่งตัวเป็นสาว Office ลงมากินของเช้าเบาๆ ที่ทำได้เอง แล้วก็นั่งเล่นคอมฯ  ทำอย่างนี้ทุกวันอยู่เดือนเดียวเท่านั้น เห็นผลเลย การอยู่ในตึก คนเดียว ไม่พูดกับใคร มีเพื่อนก็เป็นคนแปลกหน้า ไม่มีหมา ไม่มีแมว ไม่มีสนามให้เดินเล่น ปลูกได้แค่ไม้กระถางไม่มากนัก ไม่มีทีวี วิทยุ มีแต่คอมพิวเตอร์ ถ้าคุณไม่ใช่วัยรุ่นเจ๊าะแจ๊ะๆ การคุยใน Face และการ แชท จะทำให้คุณเบื่อในเวลาอันรวดเร็ว

            แล้วก็เข้าสู่สภาวะ.....หดหู่ ....ซึมเศร้า.... ยิ่งเล่นพิเรนทร์ไปฝึก อสุภะกรรมฐานเข้าในช่วงนี้ โอ้โฮ ไปกันใหญ่ ขอเตือนเลยนะ อสุภะกรรมฐานเป็นกรรมฐานที่เห็นผลมากในเรื่องทำให้เบื่อหน่าย รำคาญตัวเอง มิน่า พระภิกษุ 500 รูป ถึงพากันฆ่าตัวตาย ถ้าฝึกครึ่งๆ กลางๆ มันจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ คือ เบื่อหน่าย  หดหู่   ซึมเศร้า  ไอ้ครั้นเราจะเร่งฝึกให้เลยขั้นตอนนี้ไปจนสำเร็จ มันก็เกินวิสัย ไม่ใช่สิ่งที่จะทำได้ในเร็ววัน คงไม่ทันการณ์ เดี๋ยวจะฆ่าตัวตายเหมือนภิกษุ 500 รูปนั้นเสียก่อน  วิธีแก้ของเราก็คือ

            วิธีแรก เราใช้ธรรมะเข้าข่ม เปิด Net เข้า Web ธรรมะใกล้ตัว อ่านบทความย้อนหลัง คอลัมน์จากใจ บก. ใกล้ตัว ที่เขียนโดยคุณดังตฤณ  ได้ผลนะ ตอนนั้นมีทั้งหมด 110 ตอนก็มีที่โดนใจหลายเรื่อง ขอถือโอกาสนี้ ขอบพระคุณผ่านสายลม หรืออากาศไปถึงคุณดังตฤณ แม้ท่านจะไม่ได้รับรู้ก็เถอะ ก็ขอบอกเทวดาก็แล้วกัน ว่า บทความที่คุณดังตฤณเขียนมีสาระ ได้ประโยชน์ ที่สำคัญ มีอรรถรส เหมือนได้อาหารใจ หล่อเลี้ยงใจที่แห้งผาก และยังตอบปัญหาให้ผู้มืดบอดได้ด้วย อ่านแล้วแช่มชื่น มีกำลังใจ กลับขึ้นมาได้อีกครั้ง ถ้าใครอยากทดลองด้วยตัวเอง ก็เชิญเข้าไปอ่านได้ที่ www.dlitemag.com   เลือกอ่านคอลัมน์ จากใจ บก. ใกล้ตัว หรือ ดังตฤณ วิสัชนาก็ได้ค่ะ จะพบคำตอบ และได้คลี่คลายปมตึงเครียดในจิตใจดีทีเดียว    แต่.... แต่...... ปัญหาของเราคือ อ่านมาก ปวดตา  เมื่อยตา นะ อ่านดังตฤณจบ จะไปอ่านธรรมมะอื่นๆ ไม่ไหวแล้ว เมื่อยตา น้ำตาไหลเลย 

            วิธีที่สอง อ่านไม่ได้ก็ฟังเอา  วันต่อมาเลยเข้าไปที่ Web ของธรรมะเดลิเวอร์ลี่ โหลดฟังพระมหาสมปอง ได้ผลดีอีกนั่นแหละ  นั่งอมยิ้มคนเดียว หายซึมเศร้าไปได้ .................................แล้ว เวลาผ่านไป มันก็กลับมาอีก (เจ้าตัวหดหู่ซึมเศร้าน่ะ)

            คราวนี้หนักหน่อย เหมือนจะแฝงด้วยโรค Home Sick เข้ามาด้วย เพราะไปนั่งเปิดดูอัลบั้มรูปเก่าๆ ที่เก็บไว้ในคอมฯ ดูตั้งแต่ลูกสาวลูกชายเรายังตัวเล็กๆ  .... เจ้าน้ำตาล (หมาแสนรัก) ยังเป็นลูกหมา ดูรูปแมว รูปไก่ที่เลี้ยงไว้ แต่ละตัวน่ารัก แสนรู้ทั้งนั้นเลย ยกเว้น ลูกสาว ลูกชาย ที่เลี้ยงได้ไม่ดีเท่าสัตว์เลี้ยง  (หมายถึงฝึกลูกได้ไม่เก่งเท่าฝึกสัตว์น่ะ นะไม่ได้หมายความว่าสัตว์ดีกว่าลูกหรอกน่า...) คราวนี้ อาการหนักเลย โชคดีที่ตัดสินใจเร็ว ก็แพคกระเป๋าเลย   ปิด Office เผ่นกลับบ้าน เกือบตกรถเที่ยวสุดท้ายแน่ะ  แล้วก็ได้เห็นความอัศจรรย์ของจิต ความไม่เที่ยงของจิตด้วย พอนั่งรถเมล์แรกๆ ก็ยังเศร้าๆ อยู่ ในใจมันหม่นๆ มัวๆ  ก็ไม่ได้คิดแก้ไขอะไร นั่งรถเมล์ไป เห็นโน่นนี่ มองนั่นนี่ ไปเรื่อย เอ๊ะ  มันหายไปนะ เจ้าตัวหดหู่ซึมเศร้าน่ะ มันหายไปตอนไหนไม่รู้ รู้สึกตัวอีกที มันหายไปแล้ว  เออ นี่ก็ความไม่เที่ยงของจิตมนุษย์นะ เกิดขึ้นในเบื้องต้น ตั้งอยู่แล้วแปรปรวนในท่ามกลาง  ดับสลายในที่สุด  ขอบคุณธรรมะที่แสดงตัวให้เห็น

            อีกอย่างหนึ่งที่สำคัญน่าจะถ่ายทอดไว้ด้วย คือตอนนั่งรถได้เปลี่ยนอิริยาบถ ได้เปลี่ยนวิว  เปลี่ยนอารมณ์ ก็รู้สึกดีขึ้นแล้ว แต่อีกครั้งหนึ่งที่จิตกระตุกเปลี่ยนอย่างชัดเจนคือ เมื่อถึงบ้าน พอลงจากรถเมล์เดินเข้าทางเข้าบ้านเท่านั้น ภาพต้นไม้ สนามเขียวขจี สวนตัดแต่งไว้สวยงาม ตอนเราอยู่มันชินตา ไม่รู้สึกอะไร พอจากไปนาน แค่กลับมาเห็น เท้าได้เหยียบเข้าบริเวณบ้านเท่านั้น ความสดชื่น อบอุ่น หลั่งไหลเข้ามาทันที นึกถึงคำว่า  ความคุ้นเคยเป็นญาติอย่างยิ่ง เข้าใจแจ่มชัดตอนนี้เอง   แค่กลับมาหาสิ่งเคยคุ้น ก็รักษาโรคเหงา ได้ชะงัดจริงๆ เข้าบ้าน เจ้าหมาน้ำตาล กระโดดต้อนรับก่อนใครเพื่อน  แล้วค่อยเจอลูกชาย ลูกสาว ได้พูดจาภาษาผู้คนกับลูกๆ  (ตอนอยู่ Office ก็พูดนะ พูดลอยลอยกับวิญญาณผีบ้านผีเรือน เจ้าที่ ไปวันๆ ไม่มีคนตอบกลับมาหรอก   ซึ่งดีกว่าที่จะมีการตอบกลับมานะ!!!...) เอาเตียงผ้าใบมากางนอน เจ้าน้ำตาลกระโดดขึ้นมานอนหนุนแขนเคียงข้างตามเคย แถมมีเจ้าแมวเงินคลานขึ้นมานอนทับบนหน้าอกเราอีก .....สิ่งเหล่านี้แหละ คือยา....ยารักษาความโหยหา   หดหู่ ซึมเศร้า ขับไล่ความเหงาที่เข้ามาครองใจโดยไม่รู้ตัว....

            เมื่ออาการของตัวเองดีขึ้น เราก็นึกไปถึงผู้คนอื่นๆ ใครหนอที่เคยเป็นอย่างเรา แล้วเขาแก้ไขได้ไหม แก้ไขอย่างไรกัน   โถ....คนที่ถูกจองจำในเรือนจำ ในคุก  สภาพเขาต้องทำสิ่งซ้ำซากจำเจ ทุกวัน เห็นแต่โลกแคบๆ ทำกิจกรรมซ้ำๆ วนเวียนทุกวัน คอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ต ก็ไม่มี  โดดออกมาหาญาติ ก็ทำไม่ได้  แล้วเขาทำอย่างไรกันนี่.??? ช่างน่าสงสารเสียจริงๆ.... เราจะช่วยเขาได้อย่างไร..??...

นี่จึงเป็นความเข้าใจใน....”ใจเขา  จริงๆ  คือ  เข้าไปในใจของเขาได้จริงๆ  ถ้าไม่ได้พบสภาพเดียวกัน จะรู้สึกเหมือนเขาได้อย่างไร....ถ้าหลับตานึกๆ เอา อย่างไรก็สัมผัสไม่ได้อย่างจริงจัง ได้แค่ รู้จากการคิดนึก ไม่ใช่การสัมผัสได้ด้วยอารมณ์เดียวกัน

แล้ว.....เราจะช่วยเขาได้อย่างไร....???

มีแต่วิธีแรกเท่านั้น....... หนังสือธรรมะเท่านั้น สิ่งเดียวที่พวกเขาทำได้ ถ้าเขามีบุญมากกว่ากรรม เขาจะสามารถอ่านหนังสือที่ช่วยให้เขาชุ่มชื่นได้ เหมือนที่เราทำในวิธีที่ 1 ส่วนวิธีที่สองและสามเขาทำไม่ได้  ถ้างั้น เราจะกลับไปรวบรวมหนังสือธรรมะทั้งหมดที่มีอยู่ที่บ้าน แล้วส่งเข้าไปให้เรือนจำให้หมดเลย   คงทำได้แค่นี้นะพี่ๆ นักโทษทั้งหลาย...... กับอีกหน่อยคือแผ่เมตตา  ระลึกส่งบุญกุศลไปให้ ขอให้อดทนจนได้เจอญาติอีกครั้งก็แล้วกัน เอาใจช่วยนะ สู้...สู้....สู้เว้ย..!!!

ส่งมาโดย  สมาชิก  6309

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น